ไม่มีข้อความในพระไตรปิฎกให้เว้นไม่รู้นามธรรมหรือรูปธรรมที่ปรากฏ
รูปารมณ์ทางตาใช้คำว่า ทิฏฺฐํ
ไม่มีพยัญชนะที่ไหนที่ให้กำหนดแต่เฉพาะที่นาม สอบทานดูได้ พอถึงจิตตานุปัสสนา ที่จะระลึกลักษณะของจิตที่ไม่ใช่สราคจิต จะมีการระลึกรู้ลักษณะของจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่ให้เว้นทางจมูกให้รู้แต่กลิ่น ไม่มีข้อความนั้นเลยในพระไตรปิฎก ไม่มีข้อความว่าทางจมูกให้รู้กลิ่นที่เป็นรูป แล้วเว้นไม่ให้รู้นามที่รู้กลิ่น ข้อความนี้ไม่มีเลย
ให้รู้ถูก ให้รู้ชัด ให้รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้ขั้นการศึกษา ขั้นการศึกษาฟังแล้วเข้าใจ สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นความรู้ขั้นปริยัติ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสังขารธรรมแต่ละชนิด รู้ถึงลักษณะ และก็ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป รู้สภาพความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ
อย่างเวลานี้ถ้าสติจะระลึกรู้ที่เย็น ระลึกได้ใช่ไหมลักษณะที่เย็น หมดไหม ลักษณะที่เย็นนั้นก็หมดไป แต่ไม่ได้ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของรูปนั้นจริงๆ ของนามที่รู้รูปนั้นเลย เพราะเหตุว่าสติยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนาน และรูปจนทั่ว จนละ จนคลาย แล้วถึงจะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูปได้ ถ้าเพียงแต่ไปนั่งจ้องเพื่อที่จะให้ประจักษ์ความดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่ปัญญาไม่ได้รู้ลักษณะของนามของรูปอื่นๆ จนทั่ว ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ประจักษ์การเกิดดับของนาม และรูป นั่นไม่ใช้หนทางการเจริญมรรคมีองค์ ๘ เลย
การเจริญมรรคมีองค์ ๘ เพื่อปัญญา เพื่อความรู้ ไม่ใช่เพื่อความไม่รู้ และที่ไปนั่งจ้องไม่รู้อะไรตั้งเยอะแยะใช่ไหม อย่างนั้นก็ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน
ทุกวันมีธรรมปรากฏ ทางตาก็มีของจริงปรากฏ ทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ทางกายก็มี ทางใจก็มี สภาพธรรมทั้งหมดเป็นลักษณะของนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง แต่ละชนิด แต่ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมแต่ละชนิด เคยแต่คิดรวมๆ ไปว่านามรูปไม่เที่ยง เคยแต่ฟังศึกษาเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมว่า นามธรรม และรูปธรรมไม่เที่ยง แต่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมที่ได้ศึกษาแต่ละชนิด รูปธรรมที่ได้ศึกษามาแล้วแต่ละชนิด ยังไม่เคยเกิดขึ้นเพราะไม่ได้เริ่มเจริญสติ อย่างศึกษาเรื่องจักขุวิญญาณ การเห็น ว่าไม่เที่ยง สติไม่เคยระลึกรู้เลยถึงลักษณะที่เป็นสภาพนามธรรมที่กำลังเห็น แล้วจะไปประจักษ์ว่านามธรรมที่กำลังเห็นนี้ไม่เที่ยงได้อย่างไร หรือว่ารูปธรรม คือสี รูปารมณ์ที่กำลังปรากฏทางตา ก็ไม่เที่ยง ศึกษามาว่าอย่างนี้ แต่ว่าสติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏ แล้วจะให้ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของรูปารมณ์นั้นได้อย่างไร เพราะสติไม่เคยระลึกเลย และปัญญาก็ต้องสมบูรณ์ขึ้นเป็นขั้นๆ ด้วย การที่จะรู้ความเกิดขึ้น และดับไปของนาน และรูปก็ต้องเป็นปัญญาขั้นสูงแล้ว ไม่ใช่ปัญญาขั้นต้นๆ เพราะเหตุว่าวิปัสสนาญาณขั้นแรกคือ นามรูปปริจเฉทญาณ ความสมบูรณ์ของปัญญาที่ประจักษ์ความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นลักษณะของแต่ละนาม แต่ละรูป ทีละลักษณะ โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน
เวลานี้ถ้าจะระลึกรู้ที่รูป ความเป็นตัวตนอยู่ที่ไหน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามธรรมทั้ง ๔ ที่เป็นผู้กำลังรู้ลักษณะของรูป แล้วอย่างนี้จะประจักษ์การเกิดดับของนามรูปได้อย่างไร ถ้าปัญญายังไม่รู้ทั่วถึง ก็ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปไม่ได้ เพราะเหตุว่านามรูปก็ยังติดกันอยู่มาก ระลึกรู้เพียงรูปเดียว แล้วก็ยังมีนามรูปสืบต่อติดกันอยู่เยอะแยะที่ไม่รู้ แล้วจะไปประจักษ์การเกิดดับของนามรูปที่สืบต่อกันได้อย่างไร จะประจักษ์ได้ก็ต่อเมื่อรู้ทั่วในลักษณะของนาม และรูป ชิน ละคลาย ปัญญาคมกล้า แล้วก็สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรมของรูปธรรมได้จริงๆ