กระจัดกระจายสภาพธรรมที่ติดกัน จึงจะประจักษ์การเกิดดับได้


    ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กระจัดกระจายสภาพธรรมที่เคยติดกัน ออกเป็นแต่ละประเภทเสียก่อน จึงจะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปได้ ถ้าติดกันแน่นแล้วก็จะเรียกว่ารู้ทั่วได้อย่างไร จะเรียกว่ารู้จริงได้อย่างไร จะเรียกว่ารู้ชัดได้อย่างไร เพราะยังติดกันอยู่ ทางตาเห็น ทางใจรู้สิ่งที่เห็นต่อทางมโนทวาร นี่ก็ยังไม่รู้แล้ว แล้วจะไปประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปเมื่อไหร่ ทางหูอีก จมูกอีก ลิ้นอีก กายอีก ใจอีก เรื่องของการเจริญสติ ต้องเจริญมากทีเดียว อย่าคิดว่านิดๆ หน่อยๆ ก็พอ ผู้เจริญสติทุกท่านทราบทีเดียวว่า ท่านต้องเจริญกันมาก กว่าปัญญาจะรู้ชัดได้ ไม่ใช่เรื่องของการคิดจะเว้น ถ้าคิดจะเว้นแล้วไม่มีทางเลยที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่มีทางที่จะรู้การเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูป ในพระไตรปิฎกไม่มีข้อความให้เว้นเลยสักทางเดียว เป็นเรื่องของการรู้ทั่วจริงๆ

    เพราะฉะนั้นท่านที่จะเจริญสติปัฏฐาน ต้องทราบลักษณะของสีลัพพตปรามาสกายคันถะด้วยว่ามีอยู่ไหม ถ้ายังมีอยู่แล้วไม่ทิ้งไป ก็ไม่ได้เจริญปัญญาเลย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการที่จะทิ้งทิฏฐิความเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ ซึ่งทิ้งยาก บางท่านไม่ยอมทิ้งเลย เก็บไว้


    หมายเลข 6777
    31 ก.ค. 2567