สีลัพพตปรามาสกายคันถะ
สีลัพพตปรามาสกายคันถะ เป็นอย่างไรคะ หมายความถึงการลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดจากมรรคมีองค์ ๘ แล้วก็ยังมีความเข้าใจคิดว่า สามารถที่จะจ้องที่ท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน ท่าเดินนั้น จนกระทั่งดับเป็นอุทยัพพยญาณได้ ใช่ไหมคะ เข้าใจว่าอย่างนั้น ใช่ไหมคะ
ท่านผู้ฟังเคยถามว่า ผู้ที่ประจักษ์สภาพเช่นนั้นแล้วก็กล่าวว่า เหมือนกับตกกระได ใจหายวูบ ท่านผู้ฟังเคยกล่าวอย่างนี้ แต่ดิฉันขอเรียนให้ทราบว่าการประจักษ์ไตรลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้คือ เห็นที่กำลังมี สีที่กำลังปรากฏ ได้ยิน สภาพนามธรรมที่ กำลังปรากฏกับเสียงที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ตามปกติอย่างนี้ อันใดเป็นปัญญาแท้ เป็นปัญญาที่รู้ชัดจริงๆ ในสิ่งที่มีจริง และก็เกิดดับจริงๆ เป็นปกติด้วย เกิดดับตามปกติ ไม่ต้องไปสร้างให้วูบ แล้วเหมือนตกกระได และเป็นอะไรก็ไม่ทราบที่ดับ จะเป็นนามหรือจะเป็นรูปอะไร เพราะว่ากำลังดูรูปนั่ง หรือรูปนอน หรือรูปยืน หรือรูปเดิน แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รูปนั้นดับไป ใจก็หายวูบ แต่ว่าปกติธรรมดา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่รู้ความที่กำลังเกิดขึ้น และดับไปทุกขณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ปัญญาไหนเป็นปัญญาแท้ เป็นปัญญาจริง เป็นปัญญาที่รู้ชัดที่ เป็นอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่ากำลังเห็น แล้วไม่รู้ว่า เห็นดับ สีกำลังปรากฏ ไม่รู้ว่าสีดับ ได้ยิน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เสียงปรากฏแล้วก็ดับไป แต่ไม่รู้ อย่างนี้จะชื่อว่า เป็นปัญญาได้ไหมคะ
ขอเรียนถามท่านผู้ฟังให้แน่ใจว่า เห็นกับสีที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ ได้ยินกับเสียงที่กำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถรู้ชัด ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปได้ไหม ขอเรียนถามท่านผู้ฟังให้แน่ใจว่า ปัญญาสามารถจะรู้ชัดได้ไหม ถ้าปัญญาสามารถจะรู้ชัดได้เพราะอะไร เพราะเจริญสติ สติระลึกรู้ของนาม และรูปตามปกติธรรมดา ตามความเป็นจริง แล้วจึงจะประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูปตามปกติได้
บางทีท่านผู้ฟังอยากจะประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูปเสียเหลือเกิน ขาดเหตุผลหรือปัญญาที่จะรู้ลักษณะของนาม และรูปตามปกติไม่เคยระลึก ไม่เคยเกิด ไม่เคยมีเลย แต่ต้องการจะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูปด้วยความไม่รู้ลักษณะของนาม และรูป ตามปกติ ก็ทำให้ท่านพากเพียรที่จะจดจ้อง แต่ขอเรียนให้ทราบว่า ทำไมญาณถึงได้มีหลายขั้นนัก ทำไมขั้นเดียวไม่พอหรือคะ หรือไม่ต้องขั้นต้นเลย ไปให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย ไม่ได้หรือ ทำไมถึงไม่ได้ ก็เพราะเหตุว่าอกุศลธรรมกิเลสอาสวะมากมาย หมักหมม หมักดอง เหนียวแน่นเหลือเกินนี่เอง ที่เป็นเครื่องกั้นไว้ไม่ให้ปัญญาสามารถแทงตลอดในสิ่งที่ปรากฏได้รวดเร็ว อย่างผู้ที่เป็นอุคฆติตัญญู วิปปัญจิตัญญูได้ ท่านที่เป็นอุคฆติตัญญู วิปปัญจิตัญญู ท่านก็ต้องผ่านญาณแต่ละขั้น แต่ว่าท่านผ่านโดยรวดเร็ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องกั้น เครื่องขัดขวางเลย
สำหรับญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปัญญาที่รู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม เพราะอินทรีย์แก่กล้าที่จะทำให้ญาณที่รู้ชัดในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ญาณนั้นเกิดขึ้นได้ทางมโนทวารเพราะการอบรม ท่านอาจจะเคยอบรมมาในอดีตชาติมากแล้ว เพราะฉะนั้นเพียงสติระลึกรู้ไม่นาน ญาณนี้ก็อาจจะเกิดได้ สำหรับท่านที่ได้อบรมอินทรีย์มาแล้ว แต่ต้องเป็นญาณจริงๆ ปัญญาที่รู้ชัดจริงๆ
ปัญญาที่รู้ชัดจริงๆ นั้นก็คือว่า รู้สภาพของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏเป็นปกติ วิถีจิตนั้นรวดเร็วมาก รวดเร็วเกินกว่าท่านจะแสดงหรือว่ามีอาการผิดปกติไปให้คนอื่นรู้
เพราะฉะนั้นเรื่องของญาณ ไม่ใช่เรื่องของการผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นที่จะมาจับได้ว่า คนนี้กำลังถึงญาณขั้นนั้น เพราะกำลังผิดปกติอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องของปัญญา เรื่องของปัญญาแล้วก็เป็นเรื่องที่ปัญญารู้ชัดในลักษณะของนาม และรูป แล้วแต่ว่าจะเป็นญาณขั้นไหน ถ้าเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญารู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรมทีละอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนั้น โดยที่ท่านเลือกไม่ได้ว่า ท่านจะรู้ทางตาหรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย ปัญญารู้ชัด เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทางมโนทวารในลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม แล้วแต่ว่าบุคคลหนึ่งจะรู้นามอะไรกี่ชนิด จะรู้รูปอะไรกี่ชนิดที่กำลังปรากฏเป็นปกติในขณะนั้น
นี่เป็นเพียงนามรูปปริจเฉทญาณ สำหรับผู้ที่เป็นเนยยบุคคล ยังไม่สามารถแทงตลอดไปถึงอริยสัจธรรม เพราะว่าอินทรีย์ยังไม่แก่กล้าที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะนั้น แต่ได้อบรมอินทรีย์มาที่จะให้รู้ชัดในลักษณะของนาม และรูปที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ