นามรูปปริจเฉทญาณ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านลองคิดดูว่า ถ้าท่านได้ประจักษ์ลักษณะของนาม และรูป ที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ใจของท่านเป็นอย่างไร โลกทั้งโลกไม่มี มีแต่ลักษณะของนามชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นปรากฏ รูปชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นปรากฏ ทีละนาม ทีละรูป ทีละนาม ทีละรูป โลกที่เคยติดกันแน่นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่มีเลย ใจของท่านเป็นอย่างไรคะ
ถามถึงใจก่อนว่า ถ้าประจักษ์อย่างนั้นจริงๆ ใจของท่านเป็นอย่างไร คาดคะเนไม่ถูก ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง อิ่มเอิบ
ท่านอาจารย์ อิ่มเอิบเพราะอะไร และไม่อิ่มเอิบเพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะใกล้บรรลุ
ท่านอาจารย์ ยังไม่บรรลุค่ะ นามรูปปริจเฉทญาณเท่านั้น ประจักษ์สภาพที่ไม่ใช่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ที่สืบต่อกันอย่างนี้เลย เป็นแต่เพียงลักษณะของนามชนิดเดียว อย่างอื่นหมด ไม่มี รูปชนิดเดียว ลักษณะเดียว ทีละนาม ทีละรูป ทีละนาม ทีละรูป อย่างอื่นไม่มีเหลือเลยที่จะควบคุมรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นโลก เป็นแท่ง ไม่มีเลย ใจจะเป็นอย่างไร สภาพจริงๆ ของใจจะเป็นอย่างไรคะ
ผู้ฟัง อิ่มเอิบ
ท่านอาจารย์ โลกหายไปหมดแล้วอิ่มเอิบ แต่ก่อนเคยเป็นตัวเป็นตน เคยเต็มพร้อมไปทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้ยินได้ฟังมาจากไหนเรื่องอิ่มเอิบ โลกทั้งโลกนี่หมดแล้ว เหลือแต่นาม ทีละนาม รูป ทีละรูปเท่านั้น
ผู้ฟัง ...
ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย มีแต่ลักษณะของนามกับรูปเท่านั้น ใจเป็นอย่างไรคะ ไม่มีเลย ไม่เหลือเลย ใจเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ขอให้อาจารย์ตอบว่า ใจอาจารย์เป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ดิฉันอยากให้ท่านผู้ฟังคิดค่ะ ใจจะเป็นอย่างไร ลองคิดดูซิคะ ใจของใครจะตรงกับสภาพตามความเป็นจริงบ้างหลายอย่าง เพราะว่าอะไร มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดจิตแต่ละชนิด ไม่มีใครที่จะไปดัดแปลงประคับประคอง เป็นอัตตาที่จะไปฝ่าฝืนทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ขึ้นได้เลยในขณะนั้น แล้วแต่จิตประเภทใดจะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยใด เหมือนอย่างท่านที่ต้องการจะไม่เกิด อยากจะพ้นไปเสียเร็วๆ เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ ต้องการจะขะมักเขม้นเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่ระลึกรู้จิต มีทางจะพ้นไหมคะ จิตนานาชนิดของท่านก็เกิด เดี๋ยวโลภะก็เกิดอีก เดี๋ยวโทสะก็เกิดอีก เดี๋ยวโมหะก็เกิดอีก เพราะไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของจิตว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งเลย
เพราะฉะนั้นทางที่จะไม่เกิด ก็คือต้องระลึกรู้จิต ระลึกรู้เวทนา ระลึกรู้กาย ระลึกรู้ธรรมตามความเป็นจริง ให้ปัญญารู้ชัด ไม่ใช่ไปขะมักเขม้นที่จะไม่รู้
เพราะฉะนั้นเรื่องของจิต แล้วแต่เหตุปัจจัยว่า ปัจจัยใดทำให้จิตใดเกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ขอให้ลองคิดต่อไปอีกสักนิดหนึ่งว่า พร้อมหรือยังที่จะประจักษ์ยิ่งกว่านั้นอีก คือ การเกิดขึ้น และดับ แทงตลอด เพราะว่าเวลานั้นมีลักษณะของนามธรรมที่ปรากฏทีละอย่าง รูปธรรมทีละอย่างสืบต่อกัน การที่ไม่เคยประจักษ์ในสภาพความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่สัตว์ ความไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงสภาพของนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้นที่กำลังปรากฏ
การที่ไม่เคยรู้อย่างนี้เลย แล้วก็มีความรู้ปรากฏชัดเจน เป็นนามรูปปริจเฉทญาณในขณะนั้น พร้อมหรือยังที่จะประจักษ์ยิ่งกว่านั้นอีก คือ ความเกิดขึ้น และดับไปของแต่ละนามแต่ละรูป ตามปกติ พร้อมหรือยังคะ อาสวะ โอฆะ โยคะ คันถะ หายไปไหน สำหรับผู้ที่ไม่ใช่อุคฆติตัญญู วิปปัญจิตัญญู หายไปได้ไหมคะ ถ้าหายไม่ได้ เกิดได้ไหม อย่าลืมนะคะ อาสวะไหลไปถึงโคตรภู และไหลไปถึงภวัคพรหม คือ อรูปพรหม ไม่ใช่ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานพยายามที่สุดที่จะให้จิตสงบอย่างสมาธิ ไม่ให้เกิดโลภะ ไม่ให้เกิดโทสะเลย และก็คิดว่าเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะเกิดการรู้อริยสัจธรรมขึ้น นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน นั่นไม่ใช่เป็นการอบรมปัญญาให้รู้ลักษณะของเห็นที่กำลังเห็น ได้ยินที่กำลังได้ยิน โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิตตามปกติในวันหนึ่งๆ เพื่อการรู้ชัด วิธีผิดกันแล้ว ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นผู้นั้นเจริญเป็นปกติ รู้สภาพธรรมเป็นปกติ ถ้าจะประจักษ์อริยสัจธรรม ก็จะประจักษ์อริยสัจธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ มรรควิถีชั่ววิถีเดียว ไม่ได้ทำให้ผู้นั้นผิดปกติเลย ไม่ว่าจะกำลังอยู่ ณ สถานที่ใด เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญาที่รู้ชัด
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าโลภมูลจิตที่เกิดเป็นปกติ เป็นจิตตานุปัสสนา ผู้นั้นก็ยังสามารถระลึกรู้ก่อนมรรควิถีได้ จึงกล่าวว่า อาสวะนั้นไหลไปได้ถึงโคตรภู เพราะเหตุว่าในขณะนั้นที่ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของโลภมูลจิต ก็ยังมีไตรลักษณะของโลภมูลจิตเป็นอารมณ์ ไปจนกระทั่งถึงโคตรภู ซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่ไปสงบแล้วไม่รู้ นั่นไม่ใช่การเจริญปัญญา
เรื่องของสติปัฏฐาน เป็นเรื่องที่อบรมปัญญาให้เกิดระลึกรู้ลักษณะของจริงตามปกติ ตามธรรมดาให้เกิดการรู้ชัดมากขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าลืม อะไรจะเป็นอะไร พร้อมที่ยังที่จะประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไป ถ้าไม่พร้อม เพราะอะไร ก็รู้ว่า เพราะว่ายังรู้ไม่ทั่ว ยังไม่ชิน ยังไม่เป็นปกติ ยังไม่ใช่ว่าที่ไหนก็ได้ นามไหนก็ได้ รูปไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ใช่ไหมคะ ยังไม่พร้อมก็มี อย่างบางท่านสมบูรณ์เพียงถึงขั้นของนามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจัยปริคหญาณ สัมมสนญาณ เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถที่จะไม่หวั่นไหว รู้ชัดต่อไปในนาม และรูปที่เกิด ตรงปัจจัยที่เกิด และในการต่อกันของนาม และรูปที่เกิดดับ
แต่ว่าถ้ายังไม่ทั่ว จะไม่ถึงอุทยัพพยญาณเลย ถ้ายังไม่เป็นปกติ ทั่วไปหมดไม่ว่าจะในสถานที่ใด นาม และรูปจะละเอียดสักเท่าไรก็ตาม จิตประเภทไหน ชนิดไหน จะเป็นมานะ จะเป็นอะไรก็ตามที่เป็นปกติของตนเองที่มีปัจจัย แล้วพิจารณายังไม่ทั่วตราบใด ยังไม่พร้อม
สำหรับอุทยัพพยญาณ ไม่อย่างนั้นญาณก็คงไม่มีมากมายอย่างนี้ แต่ที่ได้เรียนให้ทราบถึงเรื่องของอกุศลกรรม ก็เป็นเรื่องที่เห็นว่า ไม่เจริญสติไม่ได้ และไม่รู้นั่นไม่รู้นี่ไม่ได้เหมือนกัน