สิ่งที่สะสมมาจะเกิดพร้อมกันทันทีไม่ได้
ผู้ฟัง ปัจจุบันพอจะเข้าใจ หมายความว่า พอมีจิตเกิดขึ้นแล้วเป็นปัจจัยของจิตดวงต่อไป ทางฝ่ายกุศลอย่างท่านจูฬบัณถก ควักผ้าเช็ดหน้าตอนนั้นท่านเกิดอกุศล ท่านพิจารณาว่าร่างกายเรานี้ไม่สะอาด เมื่อเช็ดหน้าก็เปรอะเปื้อน จิตนั้นดับไป ทอดเวลายาวนานแล้วมาเกิดทีหลัง อันนี้เป็นปัจจัยสะสมอยู่หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ สิ่งที่สะสมจะมาเกิดพร้อมกันทันทีได้อย่างไรล่ะคะ เพราะเหตุว่ามีทั้งโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง กุศลบ้าง มัจฉริยะบ้าง อิสสาบ้าง
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์ แล้วแต่ปัจจัยอีกเหมือนกันค่ะ เพราะให้ทราบว่า ที่จิตแต่ละขณะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ไม่ละการยึดถือว่า เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เช่น ในขณะที่คิดนึกนี้ บางคนไม่อยากจะคิดนึกเลย อยากให้สติระลึกรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมเท่านั้น ดูเหมือนว่าจุดประสงค์เพียงเพื่อที่จะหยุดคิด หรือไม่ให้คิด เพราะเหตุว่าไม่ชอบที่จะให้เกิดคิดขึ้น เพราะคิดว่า เวลาที่คิดแล้วก็ไม่สงบ เป็นห่วงกังวล วิตกต่าง ๆ นานา แต่นั่นไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา เพราะการอบรมเจริญปัญญา ไม่สำคัญว่าจิตจะคิดหรือไม่คิด เพราะเหตุว่าแม้แต่ความคิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่ยับยั้งหรือหยุดคิดไม่ได้ แต่ปัญญาจะต้องรู้แม้แต่ขณะที่คิดว่า เป็นสภาพที่กำลังรู้คำ นึกถึงคำ เพราะมีสัญญา ความจำในเสียง ที่ทำให้นึกถึงคำต่าง ๆ เกิดขึ้น ถ้าไม่เคยได้ยินเสียงนั้น คำนั้นเลย จะคิดนึกอย่างนั้นก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังคิด ก็รู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้ารู้จริง จะห่วงกังวลไหมคะ ที่จะไม่ให้คิด แต่เพราะยังเป็นตัวตนอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากที่จะให้เกิดคิดขึ้น ซึ่งนั่นไม่ใช่หนทาง ที่จะทำให้รู้ว่า แม้ความคิดก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และใครคิด ปกติธรรมดานะคะ
นี่คือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปกติธรรมดา โลภมูลจิตคิด ให้ทราบด้วยว่า วันหนึ่ง ๆ โลภมูลจิตเกิดมากน้อยสักแค่ไหน ถ้าขณะนั้นไม่เป็นไปในกุศลที่เป็นไปในทาน หรือศีล หรือความสงบ หรือสติปัฏฐาน แล้วละก็ ต้องเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด ถ้าขณะที่คิด ไม่สบายใจ หงุดหงิด กังวล เดือดร้อน ไม่แช่มชื่น ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตนที่คิด เป็นโทสมูลจิตคิด
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จึงต้องรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมที่กำลังคิด รู้ในขณะที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล และเห็นว่าสภาพนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่สะสมมาในจิตแต่ละขณะ จนกระทั่งถึงพร้อมด้วยปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เป็นอกุศลที่คิดอย่างนั้น และความคิดก็แสนที่จะวิจิตร ลองนึกดูเถอะว่า ท่านเคยคิดอะไรบ้าง ไร้สาระมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวนี้อาจจะรู้ว่าไร้สาระ แต่ในขณะที่ไม่รู้ ช่างเป็นสาระที่สำคัญ แต่ให้ทราบว่า นั่นคือความวิจิตรของจิตที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้น ไม่มีใครบังคับบัญชา แต่นามขันธ์ปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นความคิดแต่ละขณะ ซึ่งนี่เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน