ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต
เพราะฉะนั้นก็จะต้องเข้าใจความหมายของวิถีจิตเสียก่อนว่า หมายถึงจิตที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่จุติจิต จิตใดก็ตาม ซึ่งต่อไปก็จะได้ยินชื่อของจิตประเภทต่าง ๆ จิตใดก็ตามซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่จุติจิตแล้ว เป็นวิถีจิตทั้งหมด
ท่านผู้ฟังก็ทราบว่า ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นขณะเดียว คือ ขณะที่ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เพียงขณะเดียวที่เป็นปฏิสนธิจิต เพราะเหตุว่ากระทำปฏิสนธิกิจ ขณะนั้นไม่มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในโลกนี้ ไม่มีการได้ยินเสียงที่ปรากฏในโลกนี้ ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใด ๆ ทั้งสิ้น ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ถ้าเป็นการเกิดในมนุษย์ภูมิ เช่นทุกท่านที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ กุศลกรรมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเป็นมหาวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน แต่ว่าปฏิสนธิจิตไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ยังไม่ได้หยุดการให้ผลเพียงแค่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น แต่ยังเป็นปัจจัยให้วิบากจิตประเภทเดียวกัน คือ ในภูมิที่เป็นมนุษย์ ที่ไม่ใช่เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด ก็ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิต ๑ ดวง ซึ่งเป็นผลของมหากุศลจิตเกิดขึ้นทำภวังคกิจสืบต่อความเป็นบุคคลซึ่งกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ดำรงภพชาติของการเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะจุติ
เวลานี้ยังไม่จุตินะคะ เพราะฉะนั้นทุกท่านก็มีภวังคจิต ซึ่งกระทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลนี้ไว้ ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ไม่คิดนึก
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ขณะใดที่เป็นปฏิสนธิจิต เป็นภวังคจิต ขณะนั้นไม่ใช่วิถีจิต
เพราะฉะนั้นวิถีจิตก็คือ ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวันนี่เอง แต่เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะจำแนกออกได้ว่า เป็นจิตประเภทไหน เกิดขึ้นในขณะไหน ต่างกับขณะที่เป็นภวังคจิตอย่างไร
ขณะนี้กำลังเห็น ไม่ใช่ภวังคจิต เพราะเหตุว่าภวังคจิตทำกิจดำรงภพชาติ ขณะที่ไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ ไม่ได้ยินเสียงต่าง ๆ ในโลกนี้ ไม่ได้กลิ่นต่าง ๆ ในโลกนี้ ไม่ได้ลิ้มรสต่าง ๆ ในโลกนี้ ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายในโลกนี้
ยังไม่ถึงจุติจิต ใช่ไหมคะ พอที่จะรู้ลักษณะของภวังคจิต เวลาที่ภวังคจิตเกิดสืบต่อกันนาน ๆ ได้ เช่น ในขณะที่นอนหลับสนิท ในขณะที่นอนหลับสนิทไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไร ไม่ได้กลิ่นอะไร ไม่ได้ลิ้มรสต่าง ๆ ของโลกนี้ ไม่ได้กระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ที่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ได้คิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ
เพราะฉะนั้นในขณะที่นอนหลับสนิท ภวังคจิตเกิดสืบต่อ จนกว่าจะมีการเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นโลกนี้ไม่ปรากฏ ในขณะที่จิตทำกิจปฏิสนธิและภวังคกิจ โลกนี้ไม่ปรากฏเลย โลกนี้จะเป็นโลกมนุษย์ มีลักษณะอย่างไรก็ไม่ปรากฏทั้งสิ้น ในขณะที่จิตเป็นภวังค์ กำลังกระทำภวังคกิจ
ถ้ามีใครกำลังนอนหลับเดี๋ยวนี้ เห็นไหมว่า ในที่นี้มีใครบ้าง มีเสียงอะไรบ้าง มีกลิ่นอะไร มีรสอะไร มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้เลย ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นโลกนี้ไม่ปรากฏกับปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต