จิต ๑ ขณะอาศัยปัจจัยหลายอย่าง


    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่เราค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่า แม้แต่การที่จิตหนึ่งขณะจะเกิดขึ้นมาก็จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่นใช้คำว่า อุปัตติเหตุ ก็แสดงว่าเราไม่ได้กล่าวถึงเหตุ ๖ เพราะจิตเหล่านี้ไม่มีเหตุ ๖ เกิดร่วมด้วยเลย เพียงแค่เห็น ได้ยิน หรืออื่นๆ ที่เป็นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ทางตา ๒ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ เป็นต้น สัมปฏิจฉันนะอีก ๒ สันตีรณะอีก ๓ จิต ๑๕ ดวง เป็นอเหตุกวิบาก ก็แสดงให้เห็นว่าเวลาที่เรากล่าวถึง อุปัตติเหตุ เราไม่ได้กล่าวถึงว่าเหตุ ๖ ไม่ประกอบกับจิตเหล่านี้ แต่แม้จะเห็นได้ว่ากรรมมีพลังเป็นกัมมปัจจัยระดับไหนที่จะทำให้จิตเห็นซึ่งเป็นวิบาก จักขุวิญญาณ ที่เป็นวิบากเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ดีน่าพอใจ เป็นกุศลวิบาก หรือเห็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจเป็นอกุศลวิบาก เพียงแค่เห็นเราก็ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องของกรรม ตั้งแต่จักขุปสาทต้องมีกรรมเป็นสมุฏฐาน อย่างอื่นจะเป็นสมุฏฐานทำให้จักขุปสาทเกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นการเกิดขึ้นของจักขุปสาทรูปกับสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาทรูปซึ่งก็มีสมุฏฐานเหมือนกัน รูป สีสันวัณณะที่มีอยู่ในมหาภูตรูปเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี แล้วรูปไหนจะกระทบ เห็นไหมว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะไปสร้าง จะไปทำ ไปบันดาลได้เลย ต่อเมื่อใดเมื่อเข้าใจถึงอุปัตติเหตุที่ทำให้สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นโดยกรรมเป็นปัจจัย จักขุวิญญาณเป็นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ต้องมีจักขุปสาทรูปซึ่งกรรมนั่นแหล่ะทำให้จักขุปสาทรูปเกิด แล้วลองคิดดูจักขุปสาทรูปเกิดดับเร็วแค่ไหน ๑๗ ขณะจิตนี่ไม่ต้องคิดกันแล้ว ระหว่างที่กำลังเห็นอย่างนี้ ก็ได้ยินด้วยใช่ไหม มีใครขณะที่ได้ยินแล้วไม่เห็นบ้าง เพราะความรวดเร็ว และมีคิดนึกด้วย นี่แสดงให้เห็นถึงการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะเราก็จะกล่าวถึงสภาพของจิตที่เกิดขึ้นสืบต่อแต่ละขณะว่าจิตนั้นเป็นประเภทไหน มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่ เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย หรือเป็นกิริยาจิตซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 68


    หมายเลข 6913
    22 ม.ค. 2567