การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงให้อ่านแล้วจำ แต่ให้เข้าใจธรรมจริงๆ


    เมื่อวานนี้ได้กล่าวถึงเรื่องแสงสว่าง ซึ่งก็ควรจะได้พิจารณาว่ามีความหมายอะไรบ้าง เช่น ที่มีข้อความว่า กามาวจรธรรม หรือธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งที่สั้นมาก เล็กน้อยมาก เหมือนแสงฟ้าแลบ เพราะเหตุว่าต้องไปคิดถึงตอนที่เราหลับสนิทก่อน นี่คือซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะให้เข้าใจว่าชีวิตจริงๆ คืออย่างนี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ยิ่งเข้าใจโดยความเป็นธรรม โดยความเป็นธาตุ โดยการที่ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ก็จะเห็นว่าแต่ละขณะผู้ที่ตรัสรู้แสดงความเล็กน้อยว่าเล็กน้อยสักแค่ไหน จากขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย

    เมื่อได้ยินคำว่า "อายตนะ" จะเข้าใจอย่างไร ถ้าไม่รู้จักนามธรรม และรูปธรรม ไม่รู้จักสภาพธรรม แล้วก็ไปเปิดหนังสือ แล้วก็พบคำว่า “อายตนะ” แล้วก็มีคำแปลด้วย ตาเป็นอายตนะ เราก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะ เรามีครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สีคือแสงสว่างหรือว่ารูป รูปารมณ์ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กำลังปรากฏในขณะนี้ต้องมีแน่นอน เสียงก็มี กลิ่นก็มี รสก็มี สิ่งที่กระทบสัมผัสกายขณะนี้ก็มี แล้วพบคำว่าอายตนะในหนังสือ เราจะเข้าใจอย่างไร เข้าใจโดยชื่อ หรืออาจจะอยากฟังว่าอายตนะแปลว่าอะไร มีเท่าไหร่ อะไรเป็นอายตนะบ้าง แต่ขณะนี้กำลังเป็นอายตนะ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงให้เราอ่านแล้วก็จำ แต่ต้องไตร่ตรองให้รู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถที่จะตรัสรู้ และทรงแสดง นอกจากผู้ที่ได้อบรมปัญญาบารมี ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาอะไรก็อย่าเพิ่งผ่านไปแต่ให้เข้าใจจริงๆ แม้แต่อายตนะคือตา และสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เมื่อไหร่ เมื่อเกิดแล้วยังไม่ดับ เล็กน้อยแค่ไหน แสดงให้เห็นว่าตาที่เราคิดว่าเรามีอยู่ ความจริงเราไม่รู้ว่าไม่ใช่ตาทั้งหมด แต่ว่าจะต้องเป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษที่เล็กน้อยมาก และเกิดดับอย่างเร็วด้วย รูปที่เป็นรูป มีลักษณะของรูปที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นสภาวรูป จะมีภาวะหรือความเป็นของรูปๆ นั้น ซึ่งจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ไม่ต้องเอาอะไรมาวัด ไม่มีอย่างอื่นที่จะวัดได้เลยว่าอายุของรูปสั้นแค่ไหน นอกจากอายุของจิตที่สั้นกว่า เกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปที่เป็นสภาวรูป รูปหนึ่งจึงดับ ใครจะไปนั่งนับ ใครจะไปนั่งคิดหรือไม่ เป็นไปไม่ได้เลย นักวิทยาศาตร์จะกล่าวอย่างไร จะแสดงอย่างไร จะเรียกโดยชื่ออย่างไรก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่การตรัสรู้ แต่การตรัสรู้จริงๆ คือรู้ว่ารูปว่าดับอย่างเร็วมากเพราะว่าขณะนี้ทางตากำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ดับ แล้วมีจิตได้ยินถึงจะมีเสียงเกิดขึ้นปรากฏได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ใช่อย่างที่เราพูด แล้วคิดว่าแค่นี้ก็เร็วแล้ว ยังเร็วแสนเร็วมากกว่านั้นอีก เพราะความไม่รู้ ก็จึงมีความเข้าใจว่าสิ่งนั้นเที่ยง เมื่อเที่ยงก็เป็นเรา ทุกอย่างเหมือนไม่ได้ดับเลย เป็นเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย แต่ความจริงทั้งหมดนี่ก็เป็นธรรมที่อาศัยกัน และกัน หรืออาศัยปัจจัยเกิดขึ้นชั่วขณะแล้วก็ดับไป แล้วเราอยู่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจจริงๆ แล้วก็มีการที่จะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เพียงขั้นฟังแล้วเข้าใจ ถ้าฟังแล้วเข้าใจพระอริยะก็คงมากมาย แต่การที่เพียงเข้าใจผู้นั้นก็จะรู้ได้เลยว่าเข้าใจเรื่องสิ่งที่มี แต่ลักษณะแท้จริงไม่ได้รู้ เช่น ขณะนี้ถ้ากล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางกายมี เมื่อสักครู่ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏทางกายหรือไม่ "ไม่" พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็มี และกำลังรู้ความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร นอกจากเป็นภาวะที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ แล้วก็ดับเท่านั้นเอง รู้อย่างนี้หรือไม่ขณะที่กำลังฟัง นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเรื่องของการฟังธรรมนี่ก็ต้องอบรมความรู้ความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น เพราะในครั้งนั้นไม่ได้มีการที่จะแยกเป็นปริเฉทต่างๆ แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่กำลังมี กำลังปรากฏ เราก็สามารถที่จะพูดถึง กล่าวถึงให้เข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ ได้ครั้งละเล็กละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมแต่ละอย่างว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ขณะนี้ถ้าเข้าใจถูก ก็รู้ว่ามีอายตนะแน่นอน

    อายตนะ คือ สภาพธรรมที่ประชุม เป็นที่ก่อ เป็นที่เกิด เป็นแดนเกิด กำลังเห็นขณะนี้ ถ้าไม่มีจักขุปสาท ก็เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมี และยังไม่ดับด้วย ถ้ารูปที่เป็นสีสันวัณณะต่างๆ ไม่มากระทบจักขุปสาท ขณะนี้จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ต้องยังไม่ดับด้วย แล้วยังมีจิตซึ่งเกิดขึ้นกำลังเห็นในขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาไปทีละเล็กทีละน้อยก่อนว่าจิตก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะในขณะนี้เองที่เห็นเกิดขึ้น มีจักขุปสาทที่ยังไม่ดับ แล้วมีรูปารมณ์คือรูปที่กำลังปรากฏเป็นวัณณะรูปทางตาในขณะนี้ที่ยังไม่ดับ และมีจิตเกิดขึ้นเห็นพร้อมเจตสิกที่เกิดร่วมกันทั้งหมดต้องมีอยู่ในขณะนั้นประชุมอยู่ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดแต่ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม จะไม่เห็นความเล็กน้อยว่าเกิด และดับเร็วแค่ไหน จากที่ไม่ได้ปรากฏเลย เพราะก่อนที่จะเห็นต้องเป็นภวังค์ ต้องมีจิตเกิดดับที่ดำรงภพชาติไว้ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ยังเป็นภวังค์อยู่ จนกระทั่งเมื่อมีปัจจัยจึงเห็น สั้นแค่ไหนขณะนี้ ทั้งมีคิด ทั้งมีอะไรด้วยหลายๆ อย่างแทรกคั่น

    เพราะฉะนั้น "เห็น" ขณะนั้น จากความมืดที่ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วมีสิ่งหนึ่งปรากฏแล้วดับ จะเหมือนแสงของฟ้าแลบไหม เท่านั้นเองชั่วขณะนั้น เราอยู่ที่ไหน ขณะที่กำลังเห็น "คิด" รวมอยู่ขณะที่ "เห็น" ด้วยหรือไม่ นี่เรากำลังกล่าวถึงจิตซึ่งไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดร่วมด้วย ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ จิตที่เห็นเป็นผลของกรรม เป็นจักขุวิญญาณ เป็นผลของกุศลกรรม ๑ เป็นผลของอกุศลกรรม ๑ สำหรับจิตที่เป็นผลของกรรมใช้คำว่า "วิปากะ" แต่ภาษาไทยก็คือ"วิบาก" จิตนี้เกิดได้อย่างไร ไม่มีคนที่จะไปสร้างหรือไปทำเลย แต่กรรมคือเจตนาที่เป็นกุศล และอกุศลในอดีตที่ได้กระทำแล้ว ถึงกาละที่สมควรสุกงอมที่จะให้ผลคือ"เห็น"ในขณะนี้เกิดขึ้น "เห็น" ก็เกิดในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครพ้นจากกรรมเลยในวันหนึ่งๆ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 69


    หมายเลข 6920
    22 ม.ค. 2567