ทุกอย่างเป็นของท่านเมื่อขณะที่วิถีจิตเกิดเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นของท่านผู้ฟังในขณะที่วิถีจิตเกิดเท่านั้นเองค่ะ แต่พอวิถีจิตไม่เกิด ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เช่นในขณะที่นอนหลับสนิท แม้ว่ายังไม่สิ้นชีวิต แต่ขณะนั้นก็ไม่มีเยื่อใย ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ไม่มีความผูกพันในสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น หรือแม้แต่ในขันธ์ซึ่งเคยยึดถือว่า เป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตน ในขณะนั้นก็ไม่มี เพราะเหตุว่าวิถีจิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ใด ๆ เลย ยังไม่ทันสิ้นชีวิต ก็ยังขาดความสัมพันธ์ ความเกี่ยวข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสในวันหนึ่งๆได้ ในขณะที่นอนหลับสนิท
เพราะฉะนั้นทำไมถึงไม่ตัดแม้เยื่อใย เวลาที่มีการเห็น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ๆ ทางตา ได้ยินเสียงใด ๆ ทางหู ได้กลิ่นใด ๆ ทางจมูก หรือลิ้มรสใด ๆ ทางลิ้นหรือกระทบสัมผัสสิ่งใด ๆ ทางกาย ซึ่งเป็นทางที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลง เพราะรู้ว่าสภาพธรรมปรากฏเพียงชั่วขณะที่วิถีจิตเกิดขึ้นเท่านั้นเอง และเมื่อจิตใดเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตนั้นก็ดับจริง ๆ รูปใดเกิดขึ้นแล้วดับไป รูปนั้นก็ดับจริง ๆ รูปที่ปรากฏทางตาเมื่อกี้นี้ ดับหมดจริง ๆ จิตเห็นเมื่อกี้นี้ดับหมดจริง ๆ เสียงที่ปรากฏทางหูดับหมดจริง ๆ ได้ยินก็ดับหมดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปจริง ๆ แต่ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์ความเกิดดับจริง ๆ ก็ยังไม่เข้าถึงอรรถของความหมายของคำว่า “ดับ” เพราะเหตุว่าไม่ประจักษ์การดับ เช่นเวลานี้จะพูดถึงการดับไปของจักขุวิญญาณ ของสัมปฏิจฉันนะ ของสันตีรณะ ของโวฏฐัพพนะ ของชวนะ ของ ตทาลัมพนะ ก็ยังไม่ประจักษ์ความดับ จะพูดถึงการดับไปของสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ยังไม่ประจักษ์การดับ
เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมจริง ๆ แต่ถึงแม้ว่าปัญญาขั้นนั้นยังไม่เกิด การฟังพระธรรม และการพิจารณาให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะเกื้อกูลเป็นปัจจัยให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติปัฏฐาน มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ และศึกษาจนกระทั่งเข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย