อเหตุกวิบากมีทั้งหมด ๑๕ ดวง -พฐ.72
อเหตุกะซึ่งเป็นวิบากมีทั้งหมด ๑๕ ดวง เพราะเหตุว่า จิตที่ไม่ประกอบด้วยเจตสิก ๖ ที่เป็นเหตุ จะมีทั้งหมด ๑๘ ดวง และเป็นวิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๑๕ ประเภท กล่าวให้รู้แล้ว ๑๐ ประเภท เมื่อเห็นแล้ว ดับไปแล้ว ต้องมีจิตอื่นเกิดสืบต่อแน่นอน
นี่คือสิ่งที่เรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ใช่มีแต่จิตเห็นแล้วก็ดับ แต่มีจิตอื่นเกิดสืบต่อด้วย แต่จิตที่เกิดสืบต่อ หากไม่มีการฟังพระธรรมเลย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แม้พระสูตรก็ทรงแสดงเท่าที่สามารถจะรู้ได้ เช่น เห็นแล้วเกิดกุศลหรืออกุศล นี่โดยนัยของพระสูตร จริงหรือไม่ เห็นเฉยๆ หรือเมื่อเห็นแล้วก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง หรือเกิดกุศลจิตอยากจะให้สิ่งที่มีในขณะนั้นกับบุคคลอื่น หรือเป็นกุศลประการอื่นๆ ก็ได้ ขณะนั้นก็มีจริง ไม่ใช่ทุกคนเพียงแค่เห็นแล้วหมดเลย แล้วไม่มีอะไรเกิดต่อ แต่หลังจากเห็นแล้วโดยนัยของพระสูตร คือ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็จะมีกุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิด ถูกต้องไหม นี่คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ใครไม่เป็นอย่างนี้บ้าง ไม่มีใช่ไหม ที่ทุกคนเริ่มเข้าใจก็คือ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล จะดีจะชั่วทั้งหมดมาจากเห็น ชอบในสิ่งที่เห็น ไม่ชอบในสิ่งที่เห็น ไม่ชอบในเสียงที่ได้ยิน หรือชอบในเสียงที่ได้ยิน ทั้งหมดนี้เป็นทางที่จะให้กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดสืบต่อ แต่ต้องแยกให้ละเอียดว่า เห็นไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต แต่เป็นวิบากจิต คือเป็นผลของกรรมที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เพียงแค่เห็นเท่านั้นเอง หรือว่าขณะที่ได้ยิน ขณะนี้เองก็เป็นผลของกรรม ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย และก็ทำกิจได้ยินแล้วก็ดับไป หลังจากนั้นก็คือ กุศล และอกุศล
เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาโดยนัยของพระสูตร จะไม่มีคำว่า "ชวนะ" ซึ่งเวลาที่เรากำลังฟังธรรมเพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ต้องใช้คำว่า "ชวนะ" ก็ได้ ถ้าระหว่างคำว่า "ชวนะ" กับ "กุศล" และ "อกุศล" จะได้ยินคำไหนบ่อย กุศล และอกุศล ทุกคนก็ได้ยิน กุศลก็เป็นสิ่งที่ดีงาม ให้ผลเป็นสุข อกุศลก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี ให้โทษทำให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรม เราจะศึกษาว่าจิตเกิดขึ้นไม่ใช่เรา แต่ทำกิจตามหน้าที่ของจิตนั้นๆ นี่แสดงว่าความรู้ของเราเข้าใจเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำลังเห็นแล้วก็มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หรือมีกุศลประการหนึ่งประการใดซึ่งสืบเนื่องต่อจากการเห็น และการได้ยิน เป็นต้น
ที่มา ...