อเหตุกกิริยามีทั้งหมด ๓ ดวง


    สำหรับโวฏฐัพพนะเป็นกิริยาจิต ๑ ซึ่งอเหตุกกิริยามี ๓ ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ หสิตุปาทจิต ๑ เมื่อครู่นี้จำ และเข้าใจวิบาก ๑๕ ตั้ง ๑๕ ได้แล้วใช่ไหมเหลืออีกแค่ ๓ เท่านั้นเอง และก็ได้กล่าวถึงบ่อยๆ ว่าก่อนที่กุศลจิต และอกุศลจิตจะเกิดต้องมีกิริยาจิต ตอนนี้ไม่ใช่วิบากแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าเป็นวิบากต้องตรงตามอารมณ์ และตามกรรม ถ้าเป็นกุศลวิบาก อารมณ์ต้องเป็นอิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่น่าพอใจ ถ้าเป็นอกุศลวิบากต้องเป็นอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ แต่เมื่อเป็นกิริยาสามารถที่จะรู้อารมณ์ทั้งน่าพอใจ และไม่น่าพอใจด้วยจึงไม่ใช่วิบาก

    เพราะฉะนั้น เมื่อสันตีรณจิตดับไปแล้ว โวฏฐัพพนะจิตกระทำกิจโวฏฐัพพนะ กระทำทางหรือเป็นทาง หรือเป็นบาทเฉพาะ ที่จะให้กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดต่อ หมายความว่าเมื่อโวฏฐัพพนจิต ซึ่งได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิต เพราะมีกิริยาจิต ๓ ดวง ถ้าทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร ก็ใช้คำว่า มโนทวาราวัชชนะ เพราะทำอาวัชชนกิจ แต่เมื่อไม่ได้ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร แต่ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร ขณะนั้นก็ไม่ชื่อว่าอาวัชชนกิจ ก็เรียกตามกิจว่า โวฏฐัพพนจิต ก็ได้ เพราะขณะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตทำโวฏฐัพพนกิจดับไปแล้ว ตอนนี้เลือกไม่ได้เลย ใครจะให้เป็นกุศลจิต ใครจะให้เป็นอกุศลจิต จะไปโทษโวฏฐัพพนจิตก็ไม่ได้เพราะต้องเป็นไปตามการสะสม โวฏฐัพพนจิตเพียงเกิดขึ้นทำกิจเป็นบาทเฉพาะว่า เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงเกิด ตามการสะสม ที่ได้สะสมมา

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 72


    หมายเลข 6988
    22 ม.ค. 2567