ปฏิจจสมุปปาท กับ กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ และ วิปากวัฏฏ์
ท่านที่เคยอยากทราบเรื่อง ปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น นี่คือเรื่องของกิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏ และวิปากวัฏฏ์ เริ่มตั้งแต่ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เป็นกิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏ วิปากวัฏฏ์ แล้วหรือยังคะ
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร “สังขาร” ที่นี่คือ ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ กุศลกรรม อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ อกุศลกรรม อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ อรูปกุศลกรรม เพราะกรรมใดที่เนื่องกับรูปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกามาวจรกุศล เป็นกุศลที่เนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเป็นรูปฌาน กรรมใดก็ตามซึ่งยังเนื่องกับรูป เป็นปุญญาภิสังขาร กุศลกรรมใดที่เนื่องกับรูปเป็นปุญญาภิสังขาร
เพราะฉะนั้นสังขารจึงมี ๓ โดยนัยของปฏิจจสมุปปาท คือ ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ กุศลกรรมทั้งหลายที่เนื่องกับรูป อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ อกุศลกรรมทั้งหมด อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ อรูปฌานกรรม ๔ เท่านั้น เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิจิตในภูมิต่าง ๆ ตามเหตุของกรรมนั้น เป็นปฏิจจสมุปปาทหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปปาทไม่ได้อยู่ที่อื่น แล้วก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือ เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง คือ ในทุก ๆ ขณะนี้ ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใด จะทรงแสดงโดยนัยของปรมัตถธรรม ๔ ทรงแสดงโดยนัยของอริยสัจธรรม ๔ หรือทรงแสดงโดยนัยของปฏิจจสมุปปาท ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้เอง