ความลึกซึ้งของปฏิจสมุปปาท
ผู้ฟัง ปฏิจจสมุปปาท พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ในพระสูตรนี่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ยินแล้วก็ว่า ปฏิจจสมุปปาทนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ลึกซึ้ง ๆ แต่ขณะนั้นท่านพระอานนท์ก็รู้เข้าใจดีอยู่ ปฏิจจสมุปปาทนี้ และโดยที่เราศึกษา ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็รู้จริง ๆ ว่า ปฏิจสมุปปาทนี้อาศัยธรรมซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น แล้วท่านก็รู้จริง ๆ แล้วทำไมพระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น” เพราะเหตุใด
ท่านอาจารย์ รู้แค่ไหนละคะ ถ้ารู้เพียงแค่กิเลสวัฏฏ์ เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมวัฏ กัมมวัฏเป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสวัฏฏ์อีก กิเลสวัฏฏ์นั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมวัฏอีก กัมมวัฏนั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์อีก รู้แค่นี้ หรือว่ารู้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้อีก มีหลายขั้น หลายระดับค่ะ สำหรับความเข้าใจปฏิจจสมุปปาทค่ะ
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์ แต่ว่ายังไม่ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ไม่สามารถจะรู้ละเอียดและลึกซึ้ง โดยทั่ว โดยตลอด เช่นเดียวกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าท่านผู้ฟังลองไล่ไปก็ได้นะคะ จะได้รู้ว่า ความรู้ของท่านถึงที่สุดที่ตรงไหน เช่น ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถูกไหมคะ ทุกคนที่เกิดขึ้น คือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมเดียวเท่านั้นในบรรดากรรมนับไม่ถ้วนที่ได้กระทำมาแล้วในชาติก่อน ๆ ทั้งหมด แต่กรรมใดให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตนั้นเป็นผลของกรรมนั้น แล้วก็กรรมนั้นเองที่เกิดขึ้นก็เพราะเหตุว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัย
ทุกท่านที่เกิด ปฏิสนธิจิตเกิดนี้ ในปฏิสนธิจิตนั้นจะปราศจากอวิชชานุสัยไม่ได้เลย แม้ว่าจิตที่เป็นกุศลวิบากจิต ไม่มีโมหเจตสิกเกิดขึ้นกระทำกิจการงาน เพราะเป็นกุศลวิบาก แต่อวิชชาไม่ได้ดับ ไม่ได้หมด ยังสะสมเป็นพืชเชื้อนอนเนื่องอยู่ในจิต ไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงาน แต่ว่ามีอนุสัย คือ ความไม่รู้ นอนเนื่องอยู่ในปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นกุศลวิบาก ถ้าเกิดในกามสุคติภูมิ แต่ว่าอวิชชามาจากไหน ลองไล่ความรู้ของท่านผู้ฟังไปซิคะ จะสามารถรู้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะกล่าวว่า ปฏิจจสมุปปาทนั้นตื้นได้ไหม พอไปถึง “อวิชชา” นี้น่ะค่ะ แต่ไม่ใช่ว่า ท่านไม่สามารถจะรู้อวิชชา แต่อวิชชาที่ท่านสามารถรู้ได้ขณะนี้ ไม่ใช่สาวไปชาติก่อนโน้น ๆ ๆ ในอนันตชาตินับไม่ถ้วน แต่ว่าในขณะนี้เองค่ะ สามารถที่จะรู้ว่า มีอวิชชา
ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่รู้ว่าเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น ขณะนั้นเป็น “อวิชชา” ถ้าไม่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แล้วดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะนั้นเป็น “อวิชชา”
ด้วยเหตุนี้ผู้ใดที่เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตจะต้องมี “อวิชชานุสัย” แม้ว่าแม้ว่าโมหเจตสิกไม่ได้เกิดขึ้นทำกิจการงานในขณะที่เป็นกุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิ แต่เมื่อปฏิสนธิเกิดแล้วนี้ ขอให้ดูสภาพของเด็กที่ขณะจิตต่อ ๆ ไปเต็มไปด้วยอวิชชา และเมื่อเติบโตขึ้นมีการศึกษา มีการเล่าเรียน มีการประกอบอาชีพการงานต่าง ๆ หมดอวิชชาหรือเปล่าคะ ยังคงไม่รู้เหมือนเดิม ถ้าไม่มีการศึกษาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงโดยละเอียด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองนั้นมีอวิชชา คือ ไม่รู้ว่า “ไม่รู้อะไร” เพราะเหตุว่าเห็นก็เข้าใจว่ารู้ว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่าง ๆ โดยที่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในขณะนั้นเป็นการไม่รู้ลักษณะของ
สภาพธรรมที่เห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตา