ชื่อว่าจิตเพราะเป็นกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก


    แต่ในขณะนี้กำลังถึงลักษณะของจิต

    อรรถที่เป็นลักษณะของจิตประการที่ ๓ ที่ว่า ชื่อว่า จิต เพราะเป็นธรรมชาติอันกรรม กิเลส สั่งสมวิบาก

    แสดงให้เห็นว่า ในชีวิตตามความเป็นจริงแต่ละขณะ บางขณะเป็นกิเลส บางขณะเป็นกรรม บางขณะเป็นวิบาก

    ซึ่งถ้าเข้าใจชัดเรื่องของวิถีจิต ก็จะเป็นปัจจัยทำให้สติสามารถที่จะเกิดระลึกรู้ลักษณะของกิเลส กรรม และวิบากได้ เช่น ขณะที่เห็น ปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ใช่วิบากจิต แต่ว่าจักขุวิญญาณเป็นวิบาก สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบาก สันตีรณะเป็นวิบาก โวฏฐัพพนะไม่ใช่วิบาก กุศลและอกุศล ไม่ใช่วิบาก ตทาลัมพนะเป็นวิบาก

    มีประโยชน์อะไรที่จะรู้อย่างนี้ หรือว่าไม่มีประโยชน์ เสียเวลา ทำไมจะต้องรู้ถึงความละเอียดว่า ในการเห็นครั้งหนึ่ง ๆ ขณะใดเป็นวิบาก และขณะใดไม่ใช่วิบาก เพราะเหตุว่าธรรมที่เป็นเหตุ ไม่ใช่ธรรมที่เป็นผล อกุศลทั้งหลายหรือกุศลก็ตามเป็นเหตุ แต่ไม่ใช่เป็นวิบาก

    เพราะฉะนั้นขณะใดที่เป็นวิบากจิต ขณะนั้นเป็นผล ซึ่งเกิดเพราะเหตุ ไม่ใช่เป็นตัวเหตุ ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ถ้ารู้ว่าเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมในอดีต ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น จะคิดไหมคะว่า มีตัวตนที่สามารถที่จะบันดาลให้วิบากใด ๆ เกิดขึ้นก็ได้ จะคิดอย่างนั้นไหมคะ ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะใดที่เห็น ไม่ว่าจะเห็นสิ่งใดก็ตาม เป็นวิบาก เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อเหตุในอดีตมีพร้อมด้วยปัจจัยที่จะให้วิบากเกิดขึ้นขณะใด วิบากจิตก็เกิดขึ้นแล้ว เช่นในขณะนี้เป็นต้น เป็นวิบากจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้ว เพราะมีปัจจัยในอดีตที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีตัวตนซึ่งจะไปบังคับ แต่ให้ทราบว่า วิบากนี้เกิดขึ้นเพราะกรรมในอดีตเป็นปัจจัย

    ถ้ามีความรู้จริง ๆ อย่างนี้ ก็จะเห็นความเป็นอนัตตาในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วจะเป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ในขณะที่วิบากจิตเกิดขึ้นกระทำกิจทางหนึ่งทางใด รู้ว่านั่นเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรมในอดีต

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ก็เกื้อกูลให้สติระลึกรู้ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนั้นได้ว่า เป็นสภาพธรรมประเภทซึ่งเกิดขึ้นเพราะได้ปัจจัยที่พร้อมที่จะเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง เป็นผลของกรรม


    หมายเลข 7003
    24 ส.ค. 2558