คำถามเกี่ยวกับสักกายทิฏฐิ
ผู้ฟัง อยากจะขอให้อาจารย์อธิบายที่ว่า พระโสดาบันละกิเลสได้ ๓ อย่าง คือ ราคะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา คือ อยากทราบความหมายครับ เราทราบแต่ภาษาบาลี ความหมายจริง ๆ อย่างวิจิกิจฉา หรือสักกายทิฏฐิ มีความหมายลึกซึ้งแค่ไหน
ท่านอาจารย์ สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดในกาย คือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว รูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หาใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่ชื่อว่า “รูปารมณ์” ที่ทรงบัญญัติว่า “รูปารมณ์” หมายถึงสภาพธรรมที่สามารถปรากฏทางตาแก่จักขุวิญญาณ หรือจักขุทวารวิถีจิต รูปารมณ์ สิ่งที่ปรากฏทางตา ยาวหรือสั้น ลองคิดดูนะคะ รูปารมณ์ หรือวัณณะ สิ่งที่ปรากฏทางตา ยาวหรือสั้น โดยตรงรูปารมณ์ หรือวัณณะ รูปายตยนะ ยาวหรือสั้นไม่ได้ แต่อาศัยวัตถุซึ่งเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องกำหนดวัดว่า ยาวหรือสั้น
นี่จะต้องเข้าใจลักษณะของรูปารมณ์ หรือรูปายตนะ หรือวัณณะให้ถูกต้องแล้ว ว่าที่เคยเข้าใจมานั้นถูกหรือผิด ที่เห็นว่าเป็นโต๊ะ แล้วกำหนดหมายรู้ว่า ยาวหรือสั้น แท้ที่จริงแล้ว รูปายตนะ คือ สี สิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นสี เป็นสิ่งที่ปรากฏ ไม่ยาว ไม่สั้น แต่ว่าอาศัยวัตถุที่ตั้งของสีเป็นเครื่องกำหนดว่า ยาวหรือสั้น แต่เฉพาะรูปารมณ์ รูปายตนะ หรือวัณณะเองยาวสั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่าอาศัยปฐวีธาตุ เป็นอุปาทายรูป เพราะฉะนั้นอาศัยธาตุซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปายตนะหรือรูปารมณ์นั่นเองเป็นเครื่องกำหนดว่า ยาวหรือสั้น แต่รูปายตนะแล้วไม่ยาว ไม่สั้น ถูกไหมคะ ใครจะคิดอย่างนี้บ้าง แต่ผู้ที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง รู้ชัดถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ๆ ที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น“สักกายทิฏฐิ” คือ ความเห็นผิดในกาย ในสิ่งที่ประชุมรวมกัน ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่าง ๆ ซึ่งลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เพียงปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้ารูปารมณ์ หรือรูปายตนะ หรือสีสันวัณณะต่าง ๆ ไม่ปรากฏ จักขุวิญญาณจะไม่มี ไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีสภาพธรรมที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา
หรือถ้าจะกล่าวโดยนัยอ้อม ก็คือจักขุวิญญาณไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ซึ่งหมายถึงว่า จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อจิตเกิดขึ้น จิตเป็นสภาพรู้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นสภาพธรรมที่จริง เป็นสัจธรรม เป็นสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ และต้องระลึกที่จะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ยาว ไม่สั้น แต่ว่าอาศัยวัตถุซึ่งเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องกำหนดความยาว ความสั้น เพราะฉะนั้นตัวสีสันวัณณะจริง ๆ นั้น เป็นแต่เพียงรูปที่สามารถปรากฏทางตาเท่านั้น จึงจะไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุใด ๆ ได้