ผู้มีปัญญาทรามย่อมกล่าวว่าเราย่อมสละปริยัติ


    ท่านอาจารย์ จากข้อความในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถา ขุททกวัตถุ วิภังคนิทเทส ปาปิจฉตานิทเทส อธิบาย “ความปรารถนาลามก” ที่เป็นเหตุให้ทำอาการต่างๆ ให้พวกมนุษย์เลื่อมใส ตามที่ได้กล่าวถึงแล้วในข้อที่ว่า

    แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า “เราย่อมสละปริยัติ” เพราะเมื่อเราตรวจดูหมวด ๓ แห่งธรรม อันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกาย มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่า “ปริยัติ” ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์

    มีผู้ที่กล่าวอย่างนี้นะคะ แต่ว่าผู้ที่กล่าวอย่างนี้ เป็นผู้ที่มีปัญญาทราม ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า มีใครที่จะคิดว่า ท่านรู้ทุกอย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โดยไม่ต้องศึกษาบ้างไหม เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหมคะ ที่ใครจะกล่าวว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยาก และบรรลุได้เร็ว ซึ่งผู้ที่มีปัญญาทรามกล่าวว่า “เราย่อมสละปริยัติ”

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจเรื่องของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติ ตามความเป็นจริง ที่กำลังเกิดดับ ลองคิดดูซิคะ ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็น สภาพธรรมที่แท้จริงที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และกำลังเกิดดับ

    ในขณะที่กำลังเห็น เมื่อศึกษาเรื่องวิถีจิต ก็ทราบได้ว่า ขณะเห็นเป็นวิบากจิต แล้วเมื่อจักขุวิญญาณดับไป สัมปฏิจฉันนจิตดับไป สันตีรณจิตดับไป ซึ่งเป็นวิบาก โวฏฐัพพนจิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา แล้วต่อจากนั้นเป็นชวนวิถีจิต เป็นกุศล หรืออกุศล ถ้าไม่ใช่กุศลก็ต้องเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด คือ เป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือถ้าไม่ประกอบด้วยโลภะ หรือโทสะ ก็เป็นโมหมูลจิต รู้ไหมล่ะคะว่า ที่กำลังเห็นนี้ รู้จริง ๆ ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่ใช่สภาพรู้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ปรากฏกับจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นการเห็นสิ่งที่ปรากฏ และสภาพรู้ก็ดับ และสิ่งที่ปรากฏก็ดับ แล้วก็ไม่ใช่มีแต่เห็น ที่คิดว่าเห็นนี้ แท้ที่จริงมีกุศลหรืออกุศลที่เป็นชวนวิถี เกิดต่อจากจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    การที่จะประจักษ์ลักษณะของนามธรรม รู้ชัดว่า เป็นเพียงธาตุรู้ อาการรู้ การที่จะประจักษ์ลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏ รู้ว่า ไม่ใช่นามธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ และทั้งนามธรรมและรูปธรรมไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    มีใครที่จะบอกว่า ไม่ยาก และสามารถที่จะรู้ได้เร็ว เพราะฉะนั้นถ้าใครกล่าวอย่างนั้น จะเป็นผู้ที่มีปัญญา หรือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาทราม โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ ไม่ใช่ยุคสมัยของผู้ที่สามารถจะบรรลุเร็ว ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัญจิตัญญูบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถจะได้ยินได้ฟังพระธรรมเพียงสั้น ๆ แล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรม แทงตลอดในลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว

    ถ้าเป็นในลักษณะนั้น บุคคลนั้นเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัญจิตัญญูบุคคล แล้วยุคนี้สมัยนี้ จะเป็นสมัยของอุคฆฏิตัญญูบุคคล และวิปัญจิตัญญูบุคคลหรือเปล่า ซึ่งทุกท่านก็ทราบได้นะคะ แม้แต่เพียงได้ยินคำว่า นามธรรม สภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ในขณะที่เห็นในขณะนี้เอง ในขณะที่ได้ยินในขณะนี้เอง ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ในขณะที่กำลังคิดนึก เพียงแต่ที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้จริง ๆ ทีละอย่าง โดยไม่ปรากฏรวมกัน ต้องอาศัยการฟังและพิจารณา เมื่อเข้าใจแล้ว สติจะได้ค่อย ๆ เกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าจะสามารถระลึกได้มากเลย


    หมายเลข 7011
    24 ส.ค. 2558