ผู้ที่กล่าวว่าพ้นทุกข์ได้โดยไม่ต้องศึกษาเป็นโจรปล้นศาสนาอย่างไร


    ผู้ฟัง ผมยังติดใจคำพูดในอรรถกถาที่อาจารย์ได้ยกมากล่าวว่า ผู้ที่จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องอาศัยการศึกษา ปฏิบัติอย่างเดียว เพราะว่าผู้ที่ศึกษานั้นไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ คำพูดเช่นนี้เป็นโจรปล้นศาสนา ผมไม่เข้าใจว่า “ปล้น” อย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ สำหรับบุคคลที่กล่าวอย่างนั้นนะคะ ท่านผู้ฟังต้องพิจารณาว่า เป็นผู้ที่มีปัญญา หรือผู้ที่มีปัญญาทรามที่จะกล่าวอย่างนั้น พูดถูกหรือพูดผิด มีใครสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงได้

    ผู้ฟัง ก็มีนี่ครับ ครั้งพุทธกาล ผู้ที่ศึกษาโดยย่อ ฟังธรรมนิดหน่อย

    ท่านอาจารย์ ก็ยังเป็นผู้ที่ศึกษาอยู่นั่นเอง และเพราะเหตุว่าได้อบรมเจริญปัญญาในอดีต พร้อมที่จะประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม โดยเพียงทรงแสดงสั้น ๆ ไม่ทำให้พระผู้มีพระภาคทรงเหน็ดเหนื่อย เหมือนอย่างผู้ที่เป็นเนยยบุคคล เพราะเพียงคาถาสั้น ๆ เทศนาสั้น ๆ ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง อันนี้ผมก็ว่า ท่านอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวถูก เพราะว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมก็ด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ตั้งแต่ปฏิเวธเสื่อมไป ปฏิบัติเสื่อมไป ปริยัติเสื่อมไป ลิงคะเสื่อมไป ธาตุเสื่อมไป พุทธศาสนาจะหมดก็หมดด้วยอย่างนี้

    ทีนี้ถ้าบุคคลกล่าวว่า ไม่ต้องศึกษา ก็หมายความว่า ทำให้ปริยัติเสื่อมเร็วกว่าปกติ เพราะฉะนั้น ที่ท่านกล่าวว่า เป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา ก็ด้วยประการนี้กระมังครับ

    ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมเทศนาตลอด ๔๕ พรรษา แล้วก็ไม่มีใครศึกษา สมมติว่าค่อย ๆ หายไป เลือนไป แล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่ที่ไหน ในเมื่อไม่มีพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้นชื่อว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ถ้าเห็นว่าการศึกษาไม่สำคัญ และถ้าไม่ศึกษาแล้ว ใครจะเข้าใจธรรมได้ถูกพอที่จะกล่าวว่า ไม่ต้องศึกษา หรือว่าการปฏิบัตินั้นไม่ยาก ไม่ยากได้อย่างไร กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    ทางตา ไม่ใช่ทางหู ไม่ใช่ทางใจ เป็นแต่ละขณะ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง อย่างนี้หรือคะ จะไม่ยากที่จะประจักษ์ ใครจะบอกได้ว่า ไม่ยาก ถ้าใครบอกว่าไม่ยากนั้นผิดหรือถูก แล้วขอให้แสดงหนทางปฏิบัติซิคะว่า ปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ยาก ทำอย่างไรจึงจะไม่ยาก วิธีไหนที่จะไม่ยาก

    เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ถูกต้อง จึงได้กล่าวอย่างนั้น เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีความปรารถนาลามก เป็นผู้มีปัญญาทราม แต่ก็ยังนั่งในท่ามกลางอุปัฏฐากทั้งหลายกล่าวอยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติซึ่งเท่ากับสละพระธรรมทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อทรงอนุเคราะห์แก่ผู้ที่เป็นเนยยบุคคล หรือปทปรมะที่จะอบรมไปจนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    ผู้ที่กล่าวอย่างนั้นจะสามารถรู้ลักษณะของนามธรรมในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ตามปกติได้ไหมว่า เป็นสภาพรู้ ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูก ไม่ว่าจะได้กลิ่นอะไร ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรส ทางกายที่กำลังกระทบสัมผัส ทางใจที่กำลังคิดนึก พร้อมทั้งรู้ปฏิจจสมุปปาท ไม่ใช่โดยเข้าใจ แต่ในขณะที่กำลังเห็นนี้เอง ขณะไหนเป็นกิเลสวัฏฏ์ ขณะไหนเป็นกัมมวัฏ ขณะไหนเป็นวิปากวัฏฏ์


    หมายเลข 7017
    23 ส.ค. 2558