ท่านมีสมบัติมากไหม เป็นของท่านจริงๆหรือไม่


    ท่านผู้ฟังมีสมบัติมากไหมคะ แต่ละท่านมีสมบัติมากไหมคะ เป็นของท่านจริง ๆ หรือเปล่า เป็นของท่านชั่วขณะที่ตาเห็น แล้วเกิดความยึดถือว่า นี่ของเรา หรือนี่สมบัติพัสถานของเรา นี่แก้วแหวนเพชรนิลจินดาของเรา แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์ เป็นของจักขุวิญญาณ ชั่วขณะที่จักขุวิญญาณเห็น แล้วไม่ใช่ของจักขุวิญญาณจริง ๆเพราะเหตุว่าปรากฏภายนอก ไม่สามารถที่จะเอาเข้ามาเป็นภายในว่า เป็นของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา เสื้อผ้าอาภรณ์ หรือสิ่งใด ๆ ก็ตามทั้งหมด ที่ปรากฏในขณะที่เห็น เป็นของสาธารณะกับทุกจักขุวิญญาณซึ่งเห็นสิ่งนั้น ไม่ใช่ของใครเลยค่ะ แล้วแต่ใครจะยึดถือว่า ของฉัน ของเรา แต่โดยสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่ของใคร แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณเท่านั้น แต่ว่าเมื่อสิ่งนั้นปรากฏ แล้ว “กิเลส” ความไม่รู้ ยึดถือทันทีว่า ของเรา ทั้งวัตถุภายนอก ทั้งรูปร่างกาย ซึ่งแม้รูปร่างกายนี้ เวลาปรากฏทางตา สูง ต่ำ ดำ ขาว ต่าง ๆ ก็ปรากฏชั่วขณะที่กระทบกับจักขุปสาทเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่มีการลืมตา ไม่มีการเห็นเกิดขึ้น จะไม่มีการนึกถึงรูปร่างสัณฐาน สูง ต่ำ ดำ ขาว ซึ่งยึดถือว่าเป็นของเราเลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งใด ๆ ทั้งภายใน คือ รูปร่างกายของตนเอง และวัตถุภายนอกทั้งหมด ตามสภาพความจริงแล้ว ไม่ใช่ของใครเลย แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสิ่งที่ปรากฏและสภาพรู้ คือ จักขุวิญญาณนั้น

    เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างคะซึ่งควรจะยึดถือว่าเป็นของเรา เพราะเหตุว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบหู ดับไปหมดแล้วค่ะ ไม่มีของเราเลย

    การรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริง จึงจะทำให้ละการยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และรู้ว่าขณะไหนเป็นวิบาก ขณะไหนเป็นกิเลส ขณะไหนเป็นกรรม

    ชั่วขณะที่ได้เห็นครั้งหนึ่ง ได้ยินครั้งหนึ่ง ได้กลิ่นครั้งหนึ่ง ลิ้มรสครั้งหนึ่ง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสครั้งหนึ่ง หรือคิดนึกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสามารถที่จะเป็นสติปัฏฐาน ให้ปัญญาศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นวันนี้ท่านผู้ฟังก็คงจะสำรวจดูทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เคยมีมาก แต่แท้ที่จริงแล้วก็ทั่วไปกับจักขุวิญญาณ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจว่า มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่เห็นทรัพย์สมบัตินั้นเลย จะเกิดความรู้สึกว่า เป็นของเราได้ไหม หรือว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเป็นผู้ที่เข้าใจว่า เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใด ๆ จากทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้ารู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จริง ๆ จะมีความเสมอกัน เพราะไม่มีเรา ไม่ว่าจะเป็นจักขุวิญญาณของใคร ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเรา หรือของเรา

    เพราะฉะนั้นทุกคนนี้เท่ากัน โดยสภาพลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมเหมือนกัน แต่ว่าการที่จะยึดถือสภาพธรรมที่มีปรากฏว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา ซึ่งเป็นกิเลสนั้น ก็ย่อมมีมากน้อยต่างกัน

    เพราะฉะนั้นท่านที่เคยยินดีในทรัพย์สมบัติของท่านมากมาย เริ่มรู้สึกหรือยังว่า ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติ เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าจักขุวิญญาณไม่เห็น ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นก็เพียงจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น ชั่วขณะเห็น แล้วจะยึดถือว่า เป็นทรัพย์สมบัติของท่านได้อย่างไร ในเมื่อไม่สามารถเข้ามาสู่ตัวของท่าน สามารถเพียงแค่ปรากฏที่จักขุทวารหรือจักขุปสาทเท่านั้น

    เสียงก็เช่นเดียวกันนะคะ กลิ่นก็เช่นเดียวกัน รสก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็ชั่วขณะที่กระทบสัมผัสกระทบกายปสาท จึงปรากฏว่า ลักษณะนั้นมี แล้วก็ไม่สมควรที่จะยึดถือลักษณะนั้นว่า เป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา


    หมายเลข 7031
    23 ส.ค. 2558