วิบากที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย และ วิบากที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย
ก็คงเห็นความต่างของวิบากจิตที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย กับวิบากจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่าจิตเป็นชาติอะไร ภูมิอะไร และก็มีเหตุเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย สำหรับอเหตุกวิบาก ๑๕ ประเภทก็ได้กล่าวถึงไปแล้ว จักขุวิญญาณ ๒ คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย เพียงแต่ว่าเมื่อกรรมถึงกาละที่จะให้ผลก็เป็นปัจจัยให้จิตนี้เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กระทบจักขุปสาท เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของกรรมจริงๆ ที่ทำให้จักขุปสาทเกิด แล้วทำให้จักขุวิญญาณเกิดเมื่อมีสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท แต่ตัวจิตที่เห็นเป็นผลของกรรม เป็นอเหตุกจิต อเหตุกจิต ๑๐ ดวงคือทวิปัญวิญญาณจิต ๑๐ จักขุวิญญาณ ๒ คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ทำกิจปฏิสนธิได้ไหม ไม่ได้ ทำกิจเห็นอย่างเดียว โสตวิญญาณ ๒ ได้ยินเสียงที่เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบาก ก็ทำกิจปฏิสนธิได้ไหม ไม่ได้ จิต ๑๐ ดวงนี้ทำกิจปฏิสนธิไม่ได้เลย ทำกิจเฉพาะทางทวารของตนๆ เท่านั้นเอง สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบากจิตซึ่งรับอารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณทำปฏิสนธิกิจได้ไหม ไม่ได้ สันตีรณจิตซึ่งเกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะเป็นอกุศลวิบาก ๑ เป็นกุศลวิบาก ๒ อกุศลวิบากทั้งหมดมี ๗ ที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย และกุศลวิบากที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยมี ๘ แต่ต้องมีดวงหนึ่งซึ่งต้องทำปฏิสนธิกิจ
ถ้าทำปฏิสนธิกิจในอบายภูมิ ๑ ดวง คือ อกุศลวิบากสันตีรณะ และถ้าเป็นผลของกุศลวิบากที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ก็คือ อุเบกขาสันตีรณะกุศลวิบาก ทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิชั้นต้นหรือชั้นต่ำ คือชั้นมนุษย์ หรือ จาตุมหาราชิกา ไม่สามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิในเทวภูมิที่สูงกว่านั้นได้เลย และสำหรับโสมนัสสันตีรณะทำปฏิสนธิกิจไม่ได้ ต้องเป็นหน้าที่ของผลของกุศลซึ่งมีกำลังกว่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงปฏิสนธิจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย จะเห็นได้ว่าไม่เหมือนกับปฏิสนธิจิตซึ่งมีเหตุเกิดร่วมด้วย เพราะถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม อกุศลวิบาก ทำให้เกิดในอบายภูมิ สัตว์ไม่มีโสภณเจตจิตเกิดกับปฏิสนธิจิตเลย เพราะฉะนั้นจะไม่มีพื้นฐานของจิตที่สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลเหมือนผู้ที่ไม่ได้ปฏิสนธิด้วยอเหตุกอกุศลวิบาก หรือแม้ผู้ที่ปฏิสนธิในมนุษย์ แต่เป็นผลของกรรมอย่างอ่อน ไม่มีกำลัง อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิ ก็ไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ประกอบ ด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะฉะนั้นกรรมอื่นก็สามารถที่จะเบียดเบียนให้เป็นคนที่บ้า ใบ้ บอด หนวกแต่กำเนิด ไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วย หมายความว่าไม่มีเหตุที่ดีเกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้นพื้นฐานของจิตก็ต่างกัน และพื้นฐานของจิตก็มีความสำคัญมากในชาติหนึ่งๆ เพราะว่าถ้าเกิดในอบายภูมิแล้ว พื้นฐานของจิตไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยแน่นอน เพราะฉะนั้นจะเจริญกุศล จะฟังธรรม จะทำอะไรก็ยาก ไม่ใช่โอกาส แต่ผู้ที่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเป็นผลของกุศลกรรมที่ปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม ไม่มี มี อโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม ก็ไม่มี มีอโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม ก็ไม่มี ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วยเลย เพราะฉะนั้นพื้นฐานของจิตก็ไม่สามารถที่จะเจริญทางฝ่ายกุศลเหมือนผู้ที่ปฏิสนธิด้วยวิบากจิตซึ่งประกอบด้วยเหตุ แต่ก็มี ๒ ประเภทอีก เกิดเป็นมนุษย์ที่ไม่พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก ต้องเป็นผลของกุศลกรรม และกุศลวิบากนั้นประกอบด้วยเหตุ ๒ คือ อโลภะ อโทสะ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ก็จะมีบุคคลที่ต่างกันหลากหลายตามปฏิสนธิจิต ด้วยเหตุนี้เราก็จะพิจารณาเห็นได้ว่า สำหรับปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ก็ต้องดีกว่าปฏิสนธิจิตหรือวิบากจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ
ที่มา ...