ทุกขณะในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นวิบาก และ ไม่พ้นจากกิเลส


    เพราะฉะนั้นทุกขณะในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นวิบาก เพราะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่พ้นจากกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงแค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้กลิ่น แค่ลิ้มรส แค่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังเกิดความยินดีพอใจ หรือว่าความไม่แช่มชื่น ไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางาย ทางใจ ซึ่งเป็นตุที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้า

    เพราะฉะนั้นต้องแยกกันให้ตรงนะคะ ความหวัง ความปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายในขณะปัจจุบันเป็นเหตุปัจจุบัน ที่จะให้เกิดวิบากข้างหน้า ตรงตามเหตุ คือ ถ้าเป็นอกุศลธรรมเกิดขึ้น ย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ดี กระทบสัมผัสสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ากุศลจิตเกิด เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือคิดนึกเป็นกุศล ผลก็คือว่า จะได้เห็นสิ่งที่ดีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นถ้าท่านหวังด้วยอกุศลที่จะเป็นเศรษฐีมั่งมี มีสมบัติมากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ลักษณะนั้นเป็นอกุศล อย่าลืมว่า จะไม่ให้ผลเป็นกุศลวิบาก แต่ว่าจะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องระลึกรู้ลักษณะของอกุศล เพื่อที่จะละอกุศล เพราะถ้าไม่รู้ก็ไม่ละ แต่ถ้ารู้ย่อมละ และในขณะที่รู้นั้นเป็นกุศล เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นย่อมเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก เมื่อทุกคนยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสอกุศลได้ เพราะว่าพอเห็นก็เกิดอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง ก็จริง แต่อย่าให้ถึงความรุนแรงที่จะให้เป็นทุจริตกรรม พร้อมกันนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศลกรรม และกุศลกรรมที่ควรเจริญอย่างยิ่ง ก็คือสติปัฏฐาน การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที ในขณะนี้ก็ได้ ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ก็ได้ นั่นเป็นกุศลเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้กุศลวิบากข้างหน้าเกิดขึ้น


    หมายเลข 7091
    23 ส.ค. 2558