สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา - ความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม
สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ท่านผู้ฟังไม่เคยประจักษ์ชัดว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะขณะใดที่ยังเห็นว่าเป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นวัตถุสิ่งต่าง ๆ ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริง ๆ ว่า ไม่มีคน ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ ในขณะที่สภาพนั้น ๆ กำลังปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นรูปชนิดหนึ่ง เป็นของจริง กำลังปรากฏ ขอเพียงให้ปัญญารู้ชัดจริง ๆ ว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริง ๆ ถูกหรือผิดคะ อย่างนี้ค่ะ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น รู้แค่นี้ตามความเป็นจริง รู้ได้ไหม ยากหรือง่าย หยาบหรือละเอียด ที่จะรู้ว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปซึ่งมีจริงเพราะกำลังปรากฏ รูปที่กำลังปรากฏทางตา ที่จะรู้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคลเลย หยาบหรือละเอียด ท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่า ละเอียดแล้ว แต่ความจริงโดยนัยของรูป ๒๘ รูป สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่รูปละเอียด เป็นรูปหยาบ ทั้ง ๆ ที่เป็นรูปหยาบ ก็ยังไม่รู้รูปหยาบตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นการที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพเห็น ขณะนี้กำลังเห็นจริง ๆ มีสภาพเห็นเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นนามธรรมก็เป็นสภาพที่ละเอียดกว่ารูป นามธรรมทั้งหมดเป็นสภาพที่ละเอียดกว่ารูป ทั้งจิตและเจตสิกเป็นสภาพที่ละเอียดกว่ารูป เพราะเหตุว่าข้อความในอัฏฐสาลินีมีว่า
ถึงแม้ว่ารูปจะเกิดพร้อมกับรูปก็จริง แต่รูปไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือว่าสัมปยุตต์กับรูปซึ่งเกิดร่วมกัน
ต้องพิจารณาให้ละเอียดเข้าไปอีก ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป ๔ ต้องเกิดพร้อมกันค่ะ จะขาดรูปหนึ่งรูปใดไม่ได้ จะมีแต่ธาตุดินเกิดขึ้น โดยไม่มีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ไม่ได้ จะมีแต่ธาตุไฟเกิดขึ้น โดยไม่มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ไม่ได้ จะมีแต่ธาตุลมเกิดขึ้น โดยไม่มีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำไม่ได้ จะมีแต่ธาตุน้ำเกิดขึ้น โดยไม่มีธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมไม่ได้ แต่แต่ละธาตุนั้น แม้จะเกิดพร้อมกัน ร่วมกัน ดับพร้อมกันด้วยก็จริง แต่รูปทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตต์กัน เพราะเหตุว่ารูปนั้นเป็นธรรมชาติที่หยาบกว่านามธรรม
ธาตุไฟไหม้ธาตุดิน ได้ไหมคะ ธาตุไฟไหม้ธาตุน้ำ ได้ไหม ไม่ได้นะคะ เพราะเหตุว่าเราอาจจะมองเห็นวัตถุซึ่งแปลงสภาพโดยการถูกไฟเผา จริงนะคะ แต่ธาตุไฟนั้นไม่สามารถที่จะไหม้ธาตุดินได้ เพราะเหตุว่าทั้ง ๔ ธาตุ จะต้องเกิดร่วมกัน พร้อมกัน ถ้าธาตุไฟไหม้ธาตุดินซึ่งเกิดร่วมกัน จะยังเหลือธาตุดินไหมคะ หรือถ้าธาตุไฟไหม้ทางดิน ก็จะต้องบอกว่า ธาตุดินนั้นมีลักษณะร้อน เพราะเหตุว่าถูกธาตุไฟไหม้ แต่ธาตุดินไม่มีลักษณะร้อน ธาตุดินมีลักษณะแข้นแข็ง ธาตุไฟมีลักษณะร้อน ธาตุน้ำมีลักษณะเอิบอาบ เกาะกุม ธาตุลมมีลักษณะไหว เคร่งตึง
เพราะฉะนั้นข้อความในพระไตรปิฎกแสดงว่า ภาวะ คือ ลักษณะที่ปรากฏของธาตุแปรเปลี่ยนได้ แต่ว่าลักษณะของแต่ละธาตุเปลี่ยนไม่ได้ แม้กระนั้นก็ไม่สัมปยุตต์กัน ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่นามธรรม ไม่ใช่นามธาตุ
แต่นามธาตุ ถึงแม้ว่าจิตไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกมีถึง ๕๒ ประเภท เจตสิกแต่ละประเภทก็ต่างกันออกไปว่า ผัสสเจตสิกไม่ใช่เวทนาเจตสิก ไม่ใช่สัญญาเจตสิก ไม่ใช่เจตนาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะต่างกันก็จริง มีกิจการงานต่างกัน มีเหตุใกล้ให้เกิดต่างกัน แต่เกิดร่วมกัน พร้อมกัน และเกี่ยวข้องและสัมปยุตต์กัน เพราะเหตุว่ามีอารมณ์เดียวกัน ชั่วขณะที่จิตและเจตสิกเกิดขึ้นนี้สั้นมาก น้อยมาก ไม่มีใครจะสามารถจะเปรียบได้เลยว่า การเกิดดับของจิตนี้เร็วสักแค่ไหน เร็วจนเกินกว่าจะอุปมาเปรียบเทียบถึงความเร็วทั้งหลายได้ เพราะเหตุว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีอายุเพียง ๓ ขณะ คือ ขณะเกิด เป็นอุปาทขณะ ฐีติขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ คือ ขณะที่ยังไม่ดับไป และภังคขณะ ขณะที่ดับ
๓ ขณะนี้เร็วเหลือเกิน และทันทีที่เกิด ทั้งจิตและเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกัน พร้อมกันนี้รู้อารมณ์เดียวกัน จึงเกี่ยวข้อง และสัมปยุตต์กัน แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นสำหรับคำว่า “สัมปยุตตธรรม” หรือ “สัมปยุตตปัจจัย” ใช้เฉพาะกับนามธรรม คือ จิตและเจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์เท่านั้น
เพราะฉะนั้นต่อไปจะได้ทราบถึงปัจจัยของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ๆ ไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรม ไม่ว่าจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น ล้วนมีปัจจัยให้เกิดขึ้น และปัจจัยก็ไม่ใช่อื่น จิตนั่นเองเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดร่วมกัน หรือว่าเกิดเพราะจิตนั้นเป็นปัจจัย เจตสิกก็เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกันนั่นเอง และรูปก็เป็นปัจจัยให้รูปหรือนามธรรมเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นนามธรรมก็เป็นปัจจัยให้นามธรรมอื่นเกิดขึ้น โดยสัมปยุตตปัจจัย แต่เวลาที่นามธรรมเป็นปัจจัยให้รูปธรรมเกิดขึ้น จะไม่ใช้คำว่า สัมปยุตตะ แต่ว่าจะเป็นโดยปัจจัยอื่น หรือว่ารูปธรรมก็เป็นปัจจัยให้นามธรรมเกิดขึ้นได้ เป็นปัจจัยให้รูปธรรมเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่โดยสัมปยุตตปัจจัย
นี่คือการทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงโดยละเอียด เพื่อทรงอนุเคราะห์ให้เวลาที่สติระลึก จะได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ตรงตามความเป็นจริงว่า นามธรรมเป็นแต่เพียงสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ส่วนรูปธรรมนั้นแม้ว่าจะปรากฏ แต่อวิชชาเป็นสภาพซึ่งไม่สามารถที่จะแทงตลอด หรือรู้ชัดแม้ในสิ่งซึ่งกำลังปรากฏ