อนันตรปัจจัย
สำหรับความละเอียดของนามธรรมซึ่งเป็นสัมปยุตปัจจัย เป็นสัมปยุตธรรม และเป็นสัมปยุตปัจจัยนี้ ก็ยังมีประการอื่น ซึ่งถ้ากล่าวถึงแล้วจะทำให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาเห็นความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม
ขอกล่าวถึง “อนันตรปัจจัย” ซึ่งท่านผู้ฟังก็ได้ทราบแล้วว่า เมื่อจิตเกิดขึ้น และดับไปแล้ว จิตที่เกิด และดับไปนั้นเป็นปัจจัยทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครยับยั้งการเกิดขึ้นในขณะต่อไปของจิตได้เลย ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ และยังไม่ถึงจุติจิต ก็จะต้องมีจิตเกิดต่อจากจิตดวงที่ดับไป เพราะเหตุว่าจิตทุกดวงเป็นอนันตรปัจจัย เมื่อดับไปแล้วก็ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ซึ่งรูปธรรมไม่เป็นอย่างนั้น นี่เป็นความต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม
ท่านผู้ฟังก็อาจจะเห็นรูป ก็ไม่ได้สูญหาย อย่างจักขุปสาท รู้โดยการฟังว่า เกิดดับ จึงมีการเสื่อม มีโรคตา เพราะเหตุว่าถ้าเกิดมาอย่างไรคงอยู่อย่างนั้น ก็ไม่มีโรคตาต่างๆ แต่เพราะแม้รูปธรรมก็เกิดดับ แม้ว่าจะช้ากว่าจิต แต่เมื่อรูปธรรมหนึ่งดับไป การดับไปของรูปธรรมนั้น ไม่เป็นอนันตรปัจจัยให้รูปธรรมอื่นเกิดต่อ แต่ว่ารูปธรรมอื่นซึ่งเกิดต่อ เกิดเพราะสมุฏฐานของตนเป็นปัจจัย เช่น ทุกท่านขณะนี้มีจักขุปสาทกำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว จักขุปสาทใดซึ่งเกิดแล้วยังไม่ดับ และกระทบกับรูปารมณ์ ก็เป็นปัจจัยให้จักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นเห็นรูปารมณ์ เพราะอาศัยจักขุปสาทที่ยังไม่ดับ แต่เมื่อจักขุปสาทดับไป การดับของจักขุปสาทนั้นไม่ใช่อนันตรปัจจัยที่จะให้จักขุปสาทต่อไปเกิดขึ้น แต่จักขุปสาทที่เกิดต่อจากจักขุปสาทนี้มีกรรมเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้นจักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป เป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้ากรรมไม่กระทำให้จักขุปสาทเกิด บุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่ตาบอดทันที
เพราะฉะนั้นการดับไปของจักขุปสาท ไม่เป็นอนันตรปัจจัยให้จักขุปสาทต่อไปเกิดขึ้น แต่การดับไปของจิต และเจตสิกเป็นอนันตรปัจจัยให้จิต และเจตสิกต่อไปเกิดขึ้น
นี่เป็นความต่างกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม