เดี๋ยวนี้เลือกได้หรือไม่


    อ.กุลวิไล การเกิดเป็นผลของกรรม เพราะว่าท่านก็แสดงด้วยชาติของจิตด้วย ไม่ว่าจะเป็นปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิตของการเป็นบุคคลนี้เป็นผลของกรรมเดียวกัน ทำให้เราเกิดมาเป็นบุคคลนี้ แล้วการที่เราจะดำรงภพนี้ซึ่งเรายังไม่ตาย ก่อนที่จุติจิตจะเกิด เราก็ยังดำรงความเป็นบุคคลนี้อยู่ ฉะนั้นการรับผลของกรรมทำให้เราต้องมาเกิดเป็นบุคคลนี้ แล้วก็ต้องมาเห็นสิ่งนี้ ได้ยินสิ่งนี้ ซึ่งก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง ก็ทำให้เห็นว่านี่คือการรับผลของกรรมที่ทำให้เราต้องเกิดมาเป็นบุคคลนี้ มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ แล้วก็ได้เห็น ได้ยิน กระทบสัมผัสกับสิ่งที่เราได้รับ ฉะนั้นคนถึงแตกต่างกัน บางคนทำกุศลมามาก ก็ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้กระทบสัมผัสทางกายที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี แต่บางคนได้รับอารมณ์ที่ไม่ดีเลย ฉะนั้นความต่างกันของกรรมที่ทำแล้วจะทำให้เราได้รับผลที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ประมาทในการเจริญเหตุที่ดีเพราะเหตุที่ดีย่อมให้ผลที่ดี

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญ ถ้าไม่มั่นคงก็จะทำให้เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าบางคนทำอกุศลกรรมมาก แต่เขาก็ยังมีกุศลวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ต้องทราบว่านี่เป็นผลของเหตุในอดีตที่ได้กระทำแล้ว ส่วนกรรมใหม่ที่ได้ทำก็ยังไม่ได้ให้ผล แต่ธรรมจริงๆ ทนต่อการพิสูจน์ ถ้าเราจะมีความคิดไขว้เขวคลาดเคลื่อน เช่น คิดว่ามีเรา มีตัวตนที่สามารถจะเลือก สามารถจะบังคับบัญชาได้ แม้แต่ขณะนี้เอง ที่จะให้ชัดเจนคือเดี๋ยวนี้ เราเลือกได้หรือไม่ ถ้าเดี๋ยวนี้เลือกไม่ได้นั่นก็คือคำตอบ แม้แต่ความคิดที่ว่าเราจะเลือกได้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง อย่างนี้ถูกหรือไม่ ว่าความคิดนึกของจิตว่าเราจะทำจิตให้เป็นกุศล บางทีมันก็ไม่เป็นกุศลอย่างที่เราต้องการ

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าจะเลือกคิดอะไร แค่คิดนี่เลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็เลือกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าเลือกคิดก็เลือกไม่ได้เพราะคิดแล้ว จะเลือกได้อย่างไร มีปัจจัยที่จะคิดแล้ว เลือกเห็นก็เลือกไม่ได้อีก เพราะเห็นแล้วจะไปเลือกได้อย่างไร

    ผู้ฟัง พอรู้ว่าจิตเป็นอกุศล เราจะมีทางที่จะเลือก

    ท่านอาจารย์ นี่ก็ยาว ไปหาทางที่จะเลือก ทางที่จะทำแล้ว แต่ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ที่เกิดแล้วด้วยเพราะเหตุปัจจัย ที่สำคัญที่สุดคือขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏเพราะเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เราไม่ได้รู้เช่นนี้ ก็เลยมีเราเลือก เราคิด เราจะทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนี้ตลอดเวลา แต่ให้ทราบว่าแม้คิดก็เลือกไม่ได้ว่าจะคิดอะไร วันไหน อย่างไร แม้เห็นขณะนี้ก็เลือกไม่ได้ เพราะเห็นเกิดขึ้นแล้วจะเลือกได้อย่างไร ก่อนเห็นจะเกิด เลือกเห็นก็ไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วก็เลือกไม่ได้อีก จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ เพราะเห็นเกิดแล้ว เป็นอย่างนี้แล้ว

    ผู้ฟัง ก็หมายความว่า เอาที่ปัจจุบันอารมณ์ที่เห็น เห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจถูกยิ่งขึ้นในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แม้แต่คำว่า “อนัตตา” ตรงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย แต่เรายังไม่ถึงความเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าสะสมความเป็นเรา ความเป็นสิ่งต่างๆ มานานมาก เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าถึงความเป็นอนัตตาก็คือสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก็ตามแต่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็ตามรู้ ตามเห็น ตามได้ยินอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ง่าย แต่ว่าเป็นความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้หรือไม่ ว่าไม่ใช่ตัวตนแล้วเป็นอะไร มีจริงๆ แต่ไม่เคยเข้าใจเลย

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่สัตว์บุคคล เป็นเพียงรูป

    ท่านอาจารย์ ก็พูดไป

    ผู้ฟัง จิตก็นึกไปอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็นึกไป แต่รู้จริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะต้องทราบว่าการฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกต้องขึ้น เพื่อถึงการรู้จริง ชัดเจน ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ก็เป็นขั้นแรกที่ต้องฝึกไป อย่างนี้ถูกหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ฟังไปให้เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จะได้รู้ว่าความเข้าใจจากการฟังเพิ่มขึ้นหรือไม่ และความเข้าใจไม่ใช่ไปเข้าใจอะไรในหนังสือ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏจะโดยอาศัยการอ่าน โดยอาศัยการฟัง โดยอาศัยการไตร่ตรอง โดยอาศัยการสนทนาก็ได้ แต่ขอให้รู้ตัวตามความเป็นจริงว่ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่ชื่อ แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องฟัง จะต้องเรียน และก็รู้ว่าธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เมื่อไหร่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นนั่นคือเราฟังธรรม เราศึกษาธรรม เราเริ่มเข้าใจธรรม

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 79


    หมายเลข 7115
    22 ม.ค. 2567