ลักษณะของสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะเมื่อครู่นี้พูดคำว่า “ลักษณะของสภาพธรรม” คำนี้น่าสนใจมากที่จะต้องเข้าใจ เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วต้องมีลักษณะให้รู้ได้ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่มีลักษณะอะไรที่จะปรากฏให้รู้ แต่เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็ต้องมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างที่มีจริง ที่ปรากฏให้รู้ได้
เมื่อครู่กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้กำลังปรากฏ ลักษณะนี้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ ก็เป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งที่สามารถจะปรากฏทางตาเมื่อมีจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท สิ่งนี้จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ลักษณะที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ขอลักษณะของธรรมอื่นอีก เพราะว่าลักษณะของธรรมไม่ได้มีลักษณะเดียว อะไรเป็นลักษณะของธรรมอีก นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และต้องมีลักษณะปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ ถ้าไม่มีลักษณะปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ จะกล่าวว่าสิ่งนั้นมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่กล่าวว่ามีจริงต้องมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ เช่น ขณะนี้กล่าวว่ามีสิ่งที่ปราฏทางตา เป็นลักษณะหนึ่งของธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏได้เมื่อมีจักขุปสาท แต่ถ้าใครไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏทางตาเมื่อมีจักขุปสาท และมีจิตเห็น เพราะเหตุว่าถ้ามีจักขุปสาทแต่กำลังหลับก็ไม่เห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าเรามีจิต เราไม่เคยหา ไม่เคยเข้าใจเลย ไปเจอแต่ในตำราทั้งนั้น มีจิตชื่ออะไรบ้าง เป็นอเหตุกะ เป็นสเหตุกะ แต่จิตตัวจริงๆ ก็คือสภาพรู้ ที่สามารถจะเห็น สามารถจะคิดนึก สามารถที่จะหลายอย่างในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้น ไม่มีสักขณะเดียวที่ขาดจิต ถ้าขาดเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น แต่ที่ยังไม่ได้ขาดจิตเพราะเหตุว่ายังมีจิตที่สืบต่อทำกิจการงานตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ลักษณะของจิต ไม่มีใครไปมองเห็นเลย ขณะนี้ที่กำลังเห็น อาการเห็น สภาพที่เห็น สามารถที่จะเห็นว่าขณะนี้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตานั่นคือลักษณะของจิต ฉะนั้นเมื่อพูดถึงลักษณะของธรรมก็อยากจะขอทราบว่าธรรมอื่นที่มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ว่ามีจริงๆ เป็นลักษณะของธรรมแต่ละประเภทนั้น มีอะไรบ้าง นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา มีอะไรอีกที่เป็นธรรม
ผู้ฟัง มีเสียง
ท่านอาจารย์ เสียงมีจริง ปรากฏให้รู้ได้เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อมีเสียงมากระทบทางโสตปสาท
ท่านอาจารย์ ที่กล่าวนี้ถูกต้องตามเหตุตามผล แต่จริงๆ ก็คือเมื่อมีจิตได้ยิน เสียงนั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น จิตก็มีลักษณะของจิต เสียงก็มีลักษณะของเสียง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อกล่าวถึงธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างของสภาพธรรมนั้นปรากฏให้ศึกษาให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ถ้าเป็นรูปธรรมเช่นสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ปรากฏได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เป็นลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง นี่คือการศึกษาธรรม ศึกษารู้ว่าธรรมต้องมีลักษณะปรากฏให้รู้ จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละชนิดซึ่งไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละอย่างปรากฏเมื่อเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เกิดก็ปรากฏไม่ได้ และเมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป ให้เข้าใจให้ถูกต้องยิ่งขึ้นในสิ่งที่มีจริงๆ และก็ทรงตรัสรู้ ทรงแสดง ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้โดยครบถ้วนให้เข้าใจว่าเราศึกษาธรรม เราศึกษาอะไร เมื่อไหร่ ขณะไหน ไม่ใช่ตัวหนังสือ แต่ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ
ที่มา ...