ปัญญาของผู้รู้มีหลายระดับ


    ผู้ฟัง ตรงนี้ก็เป็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ปัญญาอย่างเราที่จะไปรู้ขณะนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงถ้าไม่รู้ จะละการยึดถือว่าเป็นเราไม่ได้ แต่ปัญญาของผู้รู้มีหลายระดับ ระดับของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของท่านพระสารีบุตร และพระมหาสาวกต่างๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะไม่สามารถรู้เลยว่าสะสมปัญญาหรือกิเลสหรือกุศลมามากน้อยอย่างไร ต่อเมื่อใดสิ่งนั้นเกิดขึ้นจึงจะรู้ว่าต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าปัญญาของเราระดับไหน แต่ก็ไม่ต้องไปถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระสารีบุตร หรือมหาสาวกต่างๆ เลยใช่ไหม แต่สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่รู้ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้ขณะนี้เรากำลังเรียนเรื่องสภาพธรรม แต่ถึงกาละที่ได้อบรมเจริญปัญญาโดยสติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ความต่างว่าขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด ขณะนั้นกำลังมีลักษณะจริงๆ ซึ่งไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นเรา ไม่เป็นนิ้ว ไม่เป็นมือ ไม่เป็นอะไรทั้งหมด ถ้าเป็นลักษณะที่แข็ง ลักษณะที่แข็งปรากฏ ขณะนั้นจะเข้าใจความต่างของขณะที่เราเคยอยู่ในทะเลชื่อ และทะเลภาพ เพราะว่าไม่มีลักษณะของปรมัตถธรรมปรากฏในขณะนั้น แต่ขณะใดที่สภาพธรรมปรากฏ ขณะนั้นเห็นความต่างเลยว่านี่เป็นหนทางเดียว สภาพธรรมขณะนั้นไม่มีชื่อจะเรียก แต่ว่ากำลังรู้กำลังค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าขณะนั้นอย่างอื่นไม่มี นี้คือขั้นฟัง แต่ว่าลึกๆ ลงไปถ้ายังไม่ได้ดับอนุสัยกิเลสคือการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนก็ยังมีเราในขณะต่อไป หรือแฝงอยู่มากน้อยต่างกัน ตามกำลังของกิเลสในขณะนั้น จนกว่าสิ่งที่เรากำลังกล่าวในขณะนี้เป็นจริงกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะว่าถ้าเป็นปัญญาจะรู้อย่างอื่นไม่ใช่อย่างนี้ได้ไหม ในเมื่อสิ่งนี้จริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นปัญญาที่จะรู้จริงๆ อย่างนี้ต้องเป็นระดับขั้นของวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นขณะนี้เรากำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นจริง วันหนึ่ง สังขารขันธ์จะปรุงแต่ง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ที่รู้ว่าความจริงแท้คืออย่างนี้ เมื่อความจริงแท้เป็นอย่างนี้ ปัญญาก็ต้องประจักษ์แจ้งอย่างนี้

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 82


    หมายเลข 7140
    22 ม.ค. 2567