เดือดร้อน น้ำท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะติดใช่หรือไม่


    ผู้ฟัง ในกรณีอย่างเรา บางท่านก็จะไปท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เขาไปปฏิบัติเราก็ไม่เดือดร้อน แต่บางคนเราเดือดร้อน เนื่องจากเป็นญาติ เป็นลูก อย่างนี้หมายความว่าเราติดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เราเกิดมาคนเดียวหรือไม่ เราจากโลกนี้ไปคนเดียวหรือไม่ เราเห็น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้คนเดียวหรือไม่ เราคิดเรื่องนี้ เราคิดคนเดียวหรือไม่ เพราะว่าคนอื่นเขาก็ไม่ได้มาร่วมคิดกับเรา ใจของเราจะมีใจอื่นมาร่วมด้วยไม่ได้เลย ก็เป็นเพียงจิตซึ่งเกิดแล้วก็ดับ เป็นโลกแต่ละขณะจิต เพราะฉะนั้นขณะนี้เราจะไม่คิดถึงเรื่องคน เรื่องสัตว์ เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ โดยที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าแท้ที่จริงทั้งหมด ถ้าไม่มีธรรมแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ แล้วมีประโยชน์กว่าเรื่องราวทั้งหลายก็คือสิ่งที่เป็นธรรมโดยที่เราจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น เมื่อเราศึกษาธรรมก็ลืมเรื่องอื่นซึ่งเป็นเรื่องราวซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากมายใหญ่โต แต่ไม่รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับจริงๆ ศึกษาธรรมก็คือศึกษาให้เข้าใจ "ขณะนี้" ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็กำลังค่อยๆ เข้าใจสิ่งซึ่งเรามักจะหลงลืมว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่ามักจะคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ แต่เมื่อเข้าใจเรื่องธรรมแล้ว ก็คือขณะนี้มีธรรมซึ่งเราจะได้พิจารณาตัวเองว่า เรามีความเข้าใจธรรมในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวไปอีกไกลในชีวิตก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เพราะฉะนั้นขณะที่ไม่เผลอ ไม่หลงลืมว่าเป็นธรรมก็คือรู้ว่าขณะนี้เรากำลังศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งซึ่งมีแล้วก็เป็นต้นตอของเรื่องราวต่างๆ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องราวทั้งหลายก็มีไม่ได้ ฉะนั้นคงไม่เบื่อที่จะย้ำแล้วย้ำอีกว่า ศึกษาธรรมก็คือรู้ตัวเองว่าฟังเรื่องอะไร กำลังฟังสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง พร้อมกันนั้นก็จะได้รู้ว่าเรามีความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของธรรม หรือเราเพียงรู้เรื่องราวของธรรม

    เพราะฉะนั้นก็จะมีปัญญาต่างขั้นคือ ปัญญาที่เริ่มได้ยินได้ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมจนกว่าสามารถที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของธรรมซึ่งก็ไม่พ้นไปเลยไม่ว่าจะอีกกี่ปีข้างหน้า หรือแม้แต่ที่ทรงแสดงพระธรรมตั้งแต่เริ่มตรัสรู้จนกระทั่งถึงกาละที่ปรินิพพาน ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังแล้วก็เป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่าเข้าใจเพียงเรื่องราว หรือเข้าใจลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยจากการที่ได้เข้าใจเรื่องราวแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็จะมีการฟังเรื่องราวก่อน แล้วก็รู้ว่าฟังอย่างไร ต่อไปอย่างไรก็ไม่พ้นจากการที่จะเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เป็นการฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจขึ้นว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร มีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏ แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 85

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 86


    หมายเลข 7227
    20 ม.ค. 2567