ธาตุส่วนตรงไหนเป็นรูปธรรม


    ผู้ฟัง ยังไม่ค่อยเข้าใจในส่วนที่เป็นรูปธรรม เพราะด้วยความที่มีชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักขุวิญญาณธาตุ ธัมมมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ โดยส่วนตัวแล้วก็ค่อยๆ พิจารณาไป ตรงนี้มันก็เป็นลักษณะนามธรรมทั้งนั้นเลย พิจารณาไม่ได้ว่าในส่วนตรงไหนที่เป็นรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังมีแท้ๆ เห็นชัดๆ เลย จะแจ้งอย่างนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่มี

    ผู้ฟัง หาชื่อไม่ได้ว่าเป็นธาตุอะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใส่ชื่อก่อนที่จะต้องเข้าใจ คือยังไม่ต้องใส่ชื่อ

    ผู้ฟัง ตอนนี้เราเรียนชื่ออยู่

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจ ให้เข้าใจสิ่งที่มี เราต้องใช้ชื่อสำหรับให้เข้าใจสิ่งที่มี แต่ต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ ก่อน เราจะไปใช้ชื่ออะไรถ้าไม่มีสิ่งอะไรเลย จะไปใช้ชื่ออะไร แต่เพราะว่า มีสิ่งที่มีแล้วก็ต้องใช้ชื่อเพื่อให้เข้าใจว่าหมายความถึงสิ่งใด ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีแน่นอนใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ มีแน่ เพียงเท่านี้ก่อน มีแน่ๆ ของจริงแน่ๆ ตอนนี้จะใช้ชื่อ และเรียกชื่อแล้ว จะเรียกสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จะชื่ออะไรดี จะคิดเองหรือจะเข้าใจตามพระไตรปิฎก

    ผู้ฟัง ไม่คิดเอง เท่าที่ฟังมาก็เป็นรูปารมณ์หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือวัณณะ

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธาตุ

    ท่านอาจารย์ ๑ รูปแล้ว ที่เป็นธาตุ

    ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าจะไปจัดอยู่ที่ธาตุตรงไหน เพราะเรียนมา ๑๘ ธาตุ

    ท่านอาจารย์ ทางตาจักขุธาตุคือจักขุปสาทรูป จักขุปสาทรูปเมื่อเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ถ้าใช้คำว่าจักขุธาตุจะไม่หมายความว่ารูปอื่นเลยทั้งสิ้น หมายความถึงเฉพาะจักขุปสาทรูป รูปเดียวที่ใช้คำว่าจักขุธาตุ

    หูเป็นจักขุธาตุหรือไม่

    ผู้ฟัง หูไม่ใช่จักขุธาตุ

    ท่านอาจารย์ จมูกเป็นจักขุธาตุหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจักขุธาตุหมายความถึงอะไร

    ผู้ฟัง หมายถึงตา

    ท่านอาจารย์ หมายความถึงตาในภาษาไทย จักขุปสาทรูปซึ่งไม่ได้หมายความถึงตาทั้งหมด แต่เป็นเพียงเฉพาะรูปพิเศษที่อยู่กลางตาที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น เป็นรูปที่มีจริง เป็นจักขุธาตุ และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีการใช้ชื่อมากมาย เช่น วัณโณ รูปารมณ์ นิภา เป็นต้น ก็เป็นเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นชื่อนั้นๆ มีจริงๆ เป็นอีกหนึ่งธาตุ จะชื่อว่าอะไร

    ผู้ฟัง ชื่อว่า รูป

    ท่านอาจารย์ รูป เป็นรูปธาตุเท่านั้น คำว่ารูปโดยนัยของธาตุ ๑๘ ไม่ได้หมายความถึงรูปอื่น ไม่ได้หมายความถึงเสียง ไม่ได้หมายความถึงกลิ่น เมื่อใช้คำว่า “รูปธาตุ” โดยนัยของธาตุ ๑๘ หมายความถึง สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น คือ รูปารมณ์อย่างเดียว เป็นรูปธาตุ (จักขุธาตุ รูปธาตุ) ๒ รูป เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เราเข้าใจโดยการที่ต้องใช้คำว่าเป็นธาตุชนิดไหน เพราะว่ารูปธาตุที่ปรากฏไม่ใช่จักขุธาตุ แต่ทั้ง ๒ อย่างเป็นรูปก็จริง แต่ใช้คำต่างกันเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธาตุไหน ทางตามีจักขุธาตุ มีรูปธาตุ มีจักขุวิญญาณธาตุ ถ้ามีแต่จักขุธาตุ กับ รูปธาตุ แต่จิตเห็นไม่มี สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้แน่นอน

    ผู้ฟัง ก็ต้องมี ๓ ธาตุใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ๓ ธาตุทางตา ๓ ธาตุทางหู ๓ ทางจมูก ๓ ทางลิ้น ๓ ทางกาย รวมกี่ธาตุ

    ผู้ฟัง ๑๕ ธาตุ

    ท่านอาจารย์ ยังมีมโนธาตุอีก ๓ คือปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ เพราะสามารถจะรู้อารมณ์ทางปัญจทวารทั้ง ๕ อารมณ์ แต่ไม่สามารถจะรู้อารมณ์ทางมโนทวารได้เลย

    ผู้ฟัง มโนธาตุ ๓ อีกหนึ่งก็เป็น ๑๖

    ท่านอาจารย์ ๑๖ เหลืออีกเท่าไหร่

    ผู้ฟัง เหลืออีก ๒

    ท่านอาจารย์ เหลืออีก ๒ คือ

    ผู้ฟัง มโนวิญญาณธาตุอีก ๑

    ท่านอาจารย์ เป็น ๑๗

    ผู้ฟัง แล้วธัมมธาตุอีก ๑

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุ ๑๘ เริ่มจากการเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรมทั้งหมดเป็นธาตุ จะนับอย่างไรก็ตาม ถ้ามีความเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าที่ทรงแสดงโดยธาตุ ๑๘ จะหมายความถึงอะไร ก็คือปรมัตถธรรมที่เราเรียนที่เราเข้าใจนั่นเอง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 86

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 87


    หมายเลข 7238
    20 ม.ค. 2567