มีแต่ธาตุเท่านั้น เป็นอนัตตา


    อ.กุลวิไล ศึกษาเรื่องธาตุ ๑๘ ต้องมั่นคงว่าได้แก่ปรมัตถธรรม ๔ เท่านั้นเอง ก็ คือ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน ในธาตุ ๑๘ ถ้าเป็นจิตแล้วก็ได้แก่วิญญาณธาตุ ๗ แต่สำหรับมโนวิญญาณธาตุเราจะเห็นว่าจะมีได้ครบทั้ง ๔ ชาติ คือ ชาติที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา ส่วนมโนธาตุมี ๒ ชาติ คือ ชาติกิริยา และชาติวิบาก สำหรับวิญญาณธาตุ ๕ คือ จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ เป็นจิตชาติวิบากเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ธาตุมีมากใช่ไหม แล้วก็เป็นเรื่องชื่อ เรื่องราวต่างๆ ก็ต้องทราบว่าเพื่อประโยชน์ในการที่จะเข้าใจได้ถูกต้องว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย แต่มีธรรมหรือธาตุเท่านั้นเอง ซึ่งแม้ว่าจะเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟัง บางคนอาจจะคิดว่าฟังตั้งมากมาย แล้วก็ลืมไปก็มากเหมือนกัน ก็อาจจะจำได้เพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็อาจจะเข้าใจว่าอย่างนี้ แต่ว่าประโยชน์ของการฟังก็คือเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่าทุกขณะเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่ตัวตน ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ในขณะที่ฟังก็ฟังด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าขณะนี้ก็เป็นธรรมหรือเป็นธาตุซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะฟังมากน้อยสักเท่าไหร่ก็เพื่อให้ถึงความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น เวลาที่สามารถจะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ก็จะรู้ได้ว่าขณะนั้นไม่มีชื่อ แต่จากการที่ได้เคยฟังมาแล้วมาก ก็จะทำให้ค่อยๆ เข้าถึงสภาพธรรมนั้นไม่ใช่เรา เพราะว่าการคุ้นเคยกับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา นานแสนนานมาแล้ว และก็เพิ่งจะมาเริ่มคิดเรื่องสิ่งที่มี โดยความไม่ใช่ตัวตนโดยชื่อว่า เป็นธาตุ เป็นอายตนะ เป็นอเหตุกะ เป็นสเหตุกะ แต่ตามความเป็นจริงก็คือทำให้เราสามารถค่อยๆ คลายความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนในขั้นของการฟัง แต่ยังไม่ใช่ในขั้นของการประจักษ์จริงๆ ถ้าเป็นในขั้นของการประจักษ์จริงๆ จะตรงตามที่เราศึกษาหรือไม่ เช่น นามธรรมเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้ ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เวลาที่มีปัญญาที่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมคือเป็นสภาพรู้ จะมีชื่อบอกไหมว่าเป็นจักขุวิญญาณ ถ้าคิดขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะแท้ๆ ของสภาพที่เห็น ซึ่งเป็นขณะหนึ่งที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ คือ เห็นแจ้งในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เวลาที่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแม้ไม่มีชื่อแต่อาการหลากหลายของธรรมที่ค่อยๆ รู้ขึ้น ก็จะตรงกับชื่อ เช่น ขณะที่กำลังรู้ลักษณะเห็น เป็นธาตุรู้ที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นขณะนี้ ถ้าสามารถจะเข้าถึงลักษณะที่เป็นธาตุที่เห็นจริงๆ ก็จะรู้ความต่างของขณะที่ธาตุนี้เกิดขึ้นอีกชนิดหนึ่งโดยทำหน้าที่ได้ยินเสียง ซึ่งก็เป็นธาตุรู้นั่นเอง แต่ขณะนั้นก็ไม่มีชื่อว่าโสตวิญญาณ แต่ก็จะตรงกับที่เราเคยได้ฟังว่า ธาตุเห็นก็เพียงเห็น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และขณะที่กำลังได้ยิน ถ้าไม่มีการยึดถือสภาพที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมแต่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะไม่เคยรู้ว่าเป็นเรา แม้ว่าสิ่งนั้นเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ก็จริง เวลาที่ได้ยิน ถ้าเราไม่มีเยื่อใย เราก็จะรู้ว่าคนละขณะเลยกับขณะที่กำลังเห็น แล้วธาตุนั้นก็เป็นธาตุที่สามารถเพียงได้ยินเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเห็นได้ ก็จะเห็นความต่างของขณะที่เป็นธาตุเห็น กับขณะที่เป็นธาตุได้ยิน และเป็นธาตุอื่นๆ แต่ทั้งหมดต้องเป็นการที่ได้มีความเข้าใจในเรื่องราวของสภาพธรรมที่ปรากฏก่อน จนกระทั่งสามารถในขณะที่ฟัง ก็ค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏตามไปด้วย ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นขณะนั้นก็สามารถค่อยๆ เข้าใจ เมื่อพูดถึงธาตุที่เห็น อาจจะไม่ต้องใช้ภาษาบาลีว่าจักขุวิญญาณธาตุ เพราะเข้าใจแล้วว่าถึงจะใช้คำว่าจักขุวิญญาณธาตุ หรือธาตุเห็น ก็คือขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีธาตุนั้นเกิดแล้วทำกิจนี้

    เพราะฉะนั้นจากการอบรมการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่มีชื่อ แต่ก็สามารถที่จะเข้าถึงความต่างโดยชื่อตามที่ทรงแสดงไว้ ก็เป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วคิดว่าชื่อมากมาย แล้วจะจำได้อย่างไร ไม่นานก็ลืมไป แต่ความจริงจะลืมไปก็ไม่ลืมส่วนสำคัญที่ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เริ่มจากความเข้าใจว่าธรรมซึ่งมีจริง และรู้ลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประการ คือลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ส่วนความละเอียดก็จะเป็นไปตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ทุกอย่าง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 87


    หมายเลข 7242
    22 ม.ค. 2567