รู้ว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นจิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่จิตเห็น
ผู้ฟัง เห็นคนที่เดินมา เห็นพ่อแม่เดินมา ลูกเดินมา ก็เป็นแค่สิ่งที่ปรากฏทางตาเฉยๆ ถ้าเราคิดอย่างนั้นจริงๆ ทำให้เราไม่รู้สึกรักลูก รักพ่อรักแม่ รู้สึกว่าพ่อเป็นคนให้กำเนิดแก่เรา เราไม่คิดไปลักษณะนั้น เราก็ไม่อยากจะทำบุญ เห็นพระมาก็ไม่อยากใส่บาตร
ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นคือความเห็นผิด ถ้าความเห็นที่ถูกต้องก็คือ แม้ขณะที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร จะเป็นพ่อ จะเป็นเพื่อน จะเป็นแม่ จะเป็นพระภิกษุ ก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิตเห็น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมยาก เพราะผู้ที่ตรัสรู้ทรงแสดงว่าเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่เที่ยง คือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือของจริง ความจริงของธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏ ต้องเกิดแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่มีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อตลอดเป็นความคิดนึกถึงเรื่องของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นขณะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะที่รู้ว่าคนนั้นเป็นพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง ก็คือเป็นสภาพจิตชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิตเห็น เพราะฉะนั้นก็จะมีความเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตาว่า สิ่งนั้นที่มีไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าเป็นธาตุเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป แต่ก็จะมีการรู้เรื่อง รู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตา และก็คำที่ได้ยิน เสียงที่ได้ยินทางหูด้วยเป็นปกติ แต่ให้เข้าใจถึงแก่นแท้ว่า แท้ที่จริงแล้วก็คือสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดดับ และก็ไม่กลับมาอีกเลย
ผู้ฟัง ที่กล่าวว่าไม่ใช่จิตเห็น แปลว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังคิดนึก กำลังรู้ว่าเป็นใคร ขณะนั้นไม่ใช่จิตเห็นคนละขณะแล้ว แต่ก็เป็นจิตนั่นเอง เพราะว่ารูปไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสภาพรู้ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติก็คือนามธรรม
ผู้ฟัง จะเป็นอย่างนี้ไหม คือจิตเห็นก่อน
ท่านอาจารย์ ก็ตรงตามที่เราได้ศึกษาเรื่องของวิถีจิตทางปัญจทวาร ทางปัญจทวารมีรูปที่ยังไม่ดับไป เพราะฉะนั้นจะมีความคิดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรไม่ได้ ทางปัญจทวารจะมีลักษณะของปรมัตถธรรม เช่น ขณะนี้ทางตา รูปที่ยังไม่ดับ จิตที่เกิดขึ้นจะมีกี่ขณะ ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิตก็ต้องมีรูปที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์ จักขุวิญญาณก็ต้องมีรูปนั้นเองที่ยังไม่ดับ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ จนถึงชวนะ ตทาลัมพนะก็มีรูปที่ยังไม่ดับ เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นอะไร เพราะว่าไม่มีการคิดนึก ต่อเมื่อไม่ใช่ทางปัญจทวารวิถี ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีสามารถจะรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง สามารถจะรู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวาร ทวารหนึ่งทวารใดก็ได้ หรือสามารถจะคิดนึกโดยที่ไม่มีอารมณ์ทางปัญจทวารเกิดก่อนก็ได้ ต้องเข้าใจความหมายทั้งหมดคือจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ และก็มีการทรงจำ ต้องมีความทรงจำว่าผู้ใดเป็น มารดาบิดา เป็นใครต่อใครเป็นของธรรมดา แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เห็นก็รู้ว่าบุคคลที่เห็นเป็นใคร รู้ว่าเป็นท่านพระโมคคัลลานะ หรือเป็นท่านพระสารีบุตร หรือท่านพระอานนท์ก็เป็นธรรมดา แต่ไม่หลงยึดถือว่าเป็นตัวตนที่เที่ยง มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่ารูปธรรมเป็นรูปธรรม นามธรรมเป็นนามธรรม ทั้งนามธรรม และรูปธรรมไม่เที่ยงจึงไม่ใช่ตัวตน
ผู้ฟัง เพราะเร็วเกินไป เราเลยปนกันระหว่างจิตเห็นเฉยๆ กับจิตนึกคิดว่าเป็นบิดามารดา เร็วมาก
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราศึกษาธรรมโดยละเอียดซึ่งเป็นส่วนของพระอภิธรรมเพื่อที่จะได้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่า เรามีความไม่รู้ และมีความเห็นผิดมากน้อยแค่ไหน และก็แสนยากที่จะให้หมดความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ขั้นการฟัง ฟังแล้วก็รู้เลยว่าเพียงฟังไม่สามารถที่จะรู้ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงแต่เข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา จนกว่าจะประจักษ์แจ้งในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดดับ ขณะนี้รู้ใช่ไหมว่าเป็นใคร ถ้าไม่รู้นี่ก็ผิดปกติ ซึ่งต้องมีวิถีจิตทางปัญจทวารก่อนแล้วจึงถึงทางมโนทวาร
ที่มา ...