จิตพิเศษคือจิตที่เป็นกุศลอีกระดับหนึ่ง


    ผู้ฟัง ความจริงจะมีจิตพิเศษอีกประเภทหนึ่งที่รู้ตามความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคได้สอนไว้อย่างนั้นที่ได้ดำเนินมา และบอกเรา แต่เป็นจิตอีกชนิดหนึ่งที่ต้องอบรม และศึกษา แล้วก็ตรึกนึก และก็ต้องไตร่ตรองกันมากๆ จนกว่าเราจะถึงจิตนั้นอย่างนั้นหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าธรรมดาก็มีจิตที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิตตามที่เราได้กล่าวถึงเรื่องชาติของจิต แต่ถ้าเราไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นจิตประเภทไหน เราก็หาไม่พบ ว่าจิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งสามารถจะรู้ได้ ต้องเป็นกุศล เพราะว่าอกุศลไม่สามารถจะรู้ได้ ต้องเป็นชาติกุศล และไม่ใช่กุศลขั้นทานด้วย เพราะขณะที่ให้ทานก็เป็นเพียงการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ไม่ใช่ขณะที่เป็นการวิรัติทุจริตที่เป็นศีล ที่เป็นวิรัติ หรือว่าไม่ใช่เป็นศีลที่ควรกระทำ จารีตศีล แม้ขณะที่จิตสงบ อย่างบางคนไปงานศพก็อาจจะคิดว่าทุกคนก็จะต้องเป็นเช่นนี้ ขณะนั้นก็เป็นจิตที่สงบจากการติดข้อง และก็อาจจะมีการคิดไตร่ตรองไปในเรื่องของการละคลายบ้าง แต่ก็ไม่ใช่จิตที่เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมว่าไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือ กุศลขั้นต่างๆ นั่นเอง กุศลขั้นทานก็มี ขั้นศีลก็มี ขั้นความสงบของจิตก็มี แต่ถึงจะสงบจนกระทั่งถึงขั้นฌาณจิต ขั้นอรูปฌาณ ขั้นสูงที่สุด ก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็คือกุศลจิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะมีได้ เจริญขึ้นได้ จนกระทั่งถึงการประจักษ์แจ้งถึงความเป็นโลกุตตระซึ่งสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ ได้โดยมีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็คือต้องอบรมความรู้ความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ขั้นฟังซึ่งเป็นเรื่องละความไม่รู้ กำลังทวนกระแสที่เคยมีมา เพราะเหตุว่าตลอดชีวิตมีแต่ความติดข้องด้วยความไม่รู้ เกิดมานี้ไม่รู้แน่ในสิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ก็มีสิ่งที่ปรากฏเหมือนเดิมแต่เริ่มจะมีจิตอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวถึงคือจิตที่เป็นกุศลอีกระดับหนึ่งซึ่งเกิดจากการฟังธรรม แล้วมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะถึงระดับกุศลขั้นนี้ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เป็นความเข้าใจจริงๆ ในความหมายอรรถของคำว่า “อนัตตา” ในความหมายของธรรมมีสิ่งที่ปรากฏ มีลักษณะจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้เลย ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะว่ามีแล้วแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าไปทำเพราะคิดว่าจะรู้นั่นคือผิด เพราะว่าจะทำเมื่อไหร่คือไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏก็คือฟังจนกว่าจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และเวลาที่สติสัมปชัญญะอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นกุศลอีกระดับหนึ่งเกิด ก็คือรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏแล้วเพราะมีแล้วเกิดแล้ว ไม่ใช่ไปทำเพราะหวังว่าจะรู้

    นี่คือการที่เราต้องฟังด้วยดี แล้วก็รู้ว่าแท้ที่จริงทั้งหมดที่ได้ฟังก็คือสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง ตามลักษณะความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    ผู้ฟัง ก็หมายความว่าจิตอีกประเภทหนึ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน คือ จิตของเราตรงนี้เอง

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศลจิตซึ่งไม่ใช่ขั้นทาน ศีล และสมถะ เป็นเพียงความสงบที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง หมายความว่าฟังแล้วก็คืออบรมไตร่ตรองพิจารณา

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ฟังคือจิตทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง เรื่องราวของโลกุตตรจิตก็เหมือนกับเรื่องราวที่เราจะต้องฟังแล้วไตร่ตรองไปเรื่อยๆ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คือจิตที่คิดตาม พิจารณาตาม เข้าใจตาม

    ผู้ฟัง แล้วทั้งหมดก็คือสิ่งนี้มีจริง มีอยู่ และเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่ามีผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นพระอริยบุคคลแล้วจำนวนมาก แต่ต้องมาจากการอบรม

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 87

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 88


    หมายเลข 7245
    22 ม.ค. 2567