ไม่ทรงแสดงรายละเอียดของนรกมากเท่ากับสภาพธรรม
ซึ่งในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้แสดงความละเอียดมากมาย เพราะว่าจุดประสงค์ที่ทรงแสดงไว้ แสดงให้เห็นเหตุและผล แต่ว่าสิ่งใดซึ่งไม่สามารถที่จะให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้เห็นชัด ประจักษ์แจ้งด้วยตา ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ควรจะแสดงเท่ากับสภาพธรรมที่สามารถจะพิสูจน์ หรือว่าอบรมเจริญปัญญาให้รู้ได้
เช่นในขณะที่กำลังเห็นทางตา ไม่ว่าจะเกิดในภูมิไหนทั้งสิ้น ไม่ขาดจักขุปสาท นอกจากในอรูปพรหมภูมิ ซึ่งชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นภูมิของพรหมซึ่งไม่มีรูป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย มีแต่จิตซึ่งมีปัจจัยเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่เป็นอรูปพรหมบุคคล เพราะเป็นผลของอรูปฌานกุศล เป็นจิตที่สงบถึงขั้นที่เห็นโทษของรูป และเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ยังมีอยู่บ่อย ๆ ก็เพราะมีรูปนั่นเอง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าไม่มีรูปก็จะตัดทุกข์ออกไปได้มาก ไม่เห็นจะเป็นทุกข์อย่างไร โรคตาก็ไม่มี ไม่ต้องเดือดร้อนไปกับสิ่งที่เห็น เพราะเหตุว่าในวันหนึ่ง ๆ คงจะไม่ทราบว่า จิตใจของแต่ละคนหวั่นไหวไปตามรูปที่ปรากฏทางตา ตามกิเลสซึ่งมีอยู่
ถ้ารูปทางตาเป็นที่น่ายินดี พอใจ ทันทีที่เห็นจิตกระเพื่อมไหวไปด้วยความยินดี ติดข้อง พอใจในสิ่งนั้น ยับยั้งไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานจริง ๆ จะไม่สามารถรู้ลักษณะของจิต ซึ่งเปลี่ยนสภาพทันทีจากการที่ไม่ปรากฏกิเลส เพราะเหตุว่าไม่เห็น แต่เวลาที่มีการเห็นเกิดขึ้น และเห็นสิ่งที่พอใจ พอใจแล้วในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในเสียงที่ปรากฏทางหู ในกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก ในรสที่ปรากฏทางลิ้น แล้วก็ดับไปตรงนั้นเอง เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นปริตธรรม เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่สั้นและเล็กน้อยเหลือเกิน ถ้าเห็นว่าเล็กน้อยจริง ๆ ก็คงจะไม่อยากได้ เพราะเหตุว่าได้มาเพียงเดี๋ยวเดียว นิดเดียว ชั่วขณะเดียว แล้วก็หมด แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าเล็กน้อยอย่างนั้น จึงยังคงเป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจอยู่ได้