ต้องได้วิปัสสนาญานขั้นไหน รูปต่างๆจึงจะปรากฏ
ผู้ฟัง รูปต่างๆที่อาจารย์กล่าวเมื่อกี้นี้ ปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒ หรืออาโปธาตุต่างๆเหล่านี้ จะต้องได้วิปัสสนาญาณขั้นไหน รูปต่างๆเหล่านี้จึงจะปรากฏ
ท่านอาจารย์ อย่าลืมนะคะว่า ขณะนี้รูปใดกำลังปรากฏ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏ เพื่อละความต้องการ แล้วเวลาที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า สำหรับบุคคลไหน รูปธรรมไหนจะปรากฏ หรือว่านามธรรมไหนจะปรากฏ ตามระดับขั้นของการอบรมปัญญาของแต่ละท่าน มิฉะนั้นก็ย่อมจะไม่มีพระอัครสาวก ซึ่งเป็นผู้ที่อบรมบารมีมากกว่าพระมหาสาวก แล้วย่อมจะไม่มีพระมหาสาวกที่อบรมบารมีแสนกัป มากกว่าพระสาวก
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมโดยตลอด โดยละเอียดเท่าๆกันทุกคน แต่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดปรากฏแก่บุคคลใด บุคคลนั้นประจักษ์แจ้งแล้วละ ไม่ใช่จะอยากรู้ขึ้น แต่เมื่อประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมใด ก็ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แล้วยังไม่พอนะคะ เพราะวิปัสสนาญาณไม่ได้มีแต่เพียงขั้นเดียว เพียงชั่วระยะที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏบางส่วนบางนาม บางรูป ชั่วขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณ และหลังจากนั้นก็มีปัจจัยที่จะให้อวิชชาเกิดขึ้น อกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ได้ดับไป ก็เกิดขึ้น ปิดบังลักษณะของสภาพธรรม ไม่ให้ประจักษ์แจ้งที่เป็นวิปัสสนาญาณได้ ตลอดติดต่อกันไป จนถึงความเป็นพระอรหันต์ สำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ที่สามารถบรรลุคุณธรรมจากพระโสดาบัน ถึงความเป็นพระอรหันต์
แล้วยิ่งถ้าเป็นเนยยบุคคล ซึ่งเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา คือ ผู้ที่ปฏิบัติลำบาก แล้วก็รู้ช้า ซึ่งควรที่จะเป็นบุคคลในยุคนี้ ไม่ใช่ในยุคนี้จะเป็นสมัยของอุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือวิปัญจิตัญญูบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ตรัสรู้โดยเร็ว โดยง่าย แต่ต้องเป็นผู้ที่ฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก สติอบรมเกิดแล้วเกิดอีก นานแสนนาน อย่าหวังหรือว่าอย่ารอ เพราะเหตุว่ายิ่งหวังยิ่งรอ ซึ่งจะเป็นเครื่องกั้นไม่ให้ประจักษ์รู้ลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเพราะเหตุยังอบรมไม่สมควรแก่ผลที่จะเกิดตราบใด ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้นในยุคนี้สมัยนี้ กว่าสภาพธรรมจะปรากฏเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ก็จะต้องห่างกัน และจะต้องมีวิริยะ มีความพากเพียรจากการฟัง จากการน้อมรู้สิ่งที่ปรากฏ โดยอาศัยการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้น แล้วไม่หลงลืมที่จะพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏให้ตรงกับที่เคยประจักษ์ ไม่ใช่ว่าวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นจะเกิดขึ้นได้โดยรวดเร็ว และโดยง่าย และประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมโดยตลอดหมด แต่ว่าการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความสงสัย เพื่อละสีลัพพัตตุปาทาน หรือสีลัพพัตตปรมาสกายคันถะ คือ การลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด จนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล จึงจะหมดกิเลสเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่ไปคอยว่า เมื่อไรจะรู้สภาพธรรมนั้น ญาณไหนจะรู้สภาพธรรมนี้ ไม่ใช่วางไว้ว่า พอถึงนามรูปปริจเฉทญาณจะประจักษ์แจ้งลักษณะของรูปธรรมที่เป็นรูปารมณ์ หรือว่าเป็นหทยวัตถุ หรือว่าเป็นอาโปธาตุ แล้วพอถึงปัจจยปริคหญาณจะประจักษ์แจ้งลักษณะของปสาทรูป หรืออะไรๆอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ แล้วแต่ว่าการสะสมของแต่ละบุคคล จะทำให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมใด ซึ่งรูปทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น แต่รูปใดจะเกิดปรากฏแก่บุคคลใด ไม่ใช่ว่าจะมีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า เมื่อถึงวิปัสสนาญาณขั้นนั้นแล้ว รูปนั้น กลุ่มนั้น กลาปนั้น จะปรากฏ หรือว่าพอถึงอีกขั้นหนึ่ง รูปอื่น กลาปอื่นจะปรากฏ
เรื่องของแต่ละบุคคล เป็นเรื่องที่สะสมมาต่างกัน วิจิตรต่างกันมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่วิปัสสนาญาณของแต่ละบุคคล จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมก็ไม่ใช่ว่า มีกฎเกณฑ์ว่าจะต้องเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้