กุศลขั้นทาน ขั้นศีล เป็นปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐานได้หรือไม่
ผู้ฟัง ขั้นทาน ขั้นศีลเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสติปัฏฐานได้ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึง "ปกตูปนิสสยปัจจัย" จะเห็นว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นเลยว่าจะเป็นปัจจัยได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เช่น อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล ไม่ได้พูดถึงเรื่องทาน ไม่ได้พูดถึงเรื่องศีล แต่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทไหน คงจะไม่ใช่การฆ่าหรือว่าทุจริตกรรม ในชีวิตประจำวันของเราเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เมื่อเราไปทำกิจการงานหรือตื่นมาก็พบบุคคลในครอบครัว มีความผูกพัน มีความเมตตา มีความหวังดี แต่ว่าความเป็นผู้ละเอียด และเห็นประโยชน์ แม้ในทางโลกซึ่งไม่ใช่กุศล ในเรื่องของธุรกิจการงาน ในเรื่องวิชาความรู้ ใครรู้เรื่องวิธีทำอาหาร และทำได้อร่อย ก็บอกคนอื่นให้เขาเข้าใจอย่างนั้น หรือสะสมความละเอียดของการที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ แม้ว่าในขณะนั้นไม่เป็นไปในทาน ในศีล ที่เป็นกุศลจริงๆ เพราะว่าเป็นเรื่องของโลก แต่ก็มีความเมตตา และถ้าจะมีความที่ผูกพันกับบุคคลนั้นโดยฐานะใดๆ ก็ตาม แต่ก็ยังมีความหวังดีที่จะให้บุคคลนั้นได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เป็นความรู้ทางโลก
เพราะฉะนั้นจากการที่เขาเข้าใจ และก็ใส่ใจในความละเอียดทางโลก ก็จะสะสมเป็นความละเอียดในความใส่ใจแม้ว่าในทางโลก ซึ่งจะค่อยๆ ปรับปรุงสะสมเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งแม้ในขณะที่เป็นไปในทางธรรม ในการฟังธรรมถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดกับผู้ที่หยาบ เราก็จะเห็นความต่างกัน คนที่หยาบก็คิดว่าเข้าใจหมดแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลย นามธรรมกับรูปธรรม ๒ อย่างก็เข้าใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เข้าใจอีก แล้วจะมีอะไร อายตนะก็เข้าใจ ธาตุก็เข้าใจ ทุกอย่างก็เข้าใจหมด นี่เป็นผู้ที่หยาบหรือว่าเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะฉะนั้นจากการที่จะเป็นผู้ที่ละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จึงค่อยๆ สะสมมา นานแสนนาน กว่าจะปรุงแต่งเป็นการที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ความละเอียดที่สะสมมา ความใส่ใจโดยดีแม้ในทางโลก ก็จะเปลี่ยนมาเป็นการใส่ใจอย่างดีในทางธรรม และเป็นการพิจารณาที่ละเอียดแยบคายขึ้น เพราะฉะนั้น จะเห็นได้จริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละชวนจิต คือเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้างก็จะสะสมสืบต่อซึ่งเป็นความวิจิตร เป็นอัธยาศัยที่ต่างๆ กัน มิฉะนั้นก็จะไม่มีผู้ที่มีปัญญาคม ปัญญาลึก ปัญญากว้าง ปัญญาหนา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่ต่างกันของปัญญาในรูปแบบต่างๆ
ที่มา ...