ความเข้าใจคำว่า วาระ


    ผู้ฟัง ต่อไปคำว่า “วาระ”

    ท่านอาจารย์ “วาระ” จิตเกิดดับเร็วเพียงใด เช่น ปฏิสนธิจิตเกิดกี่ขณะ ๑ ขณะ เท่านั้น ในชาติหนึ่งจะมีปฏิสนธิจิต ๒ ขณะไม่ได้เลย เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว สภาพของจิตอะไรเกิดต่อ

    ผู้ฟัง ภวังค์

    ท่านอาจารย์ เป็นวิบากจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิ เพราะว่ากรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตเกิด ยังทำให้วิบากจิตประเภทเดียวกันเกิดสืบต่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นยังไม่สิ้นสุด ยังไม่ตาย ยังไม่เปลี่ยนสภาพ ย้งเป็นบุคคลนี้อยู่ จนกว่าจะถึงจุติจิต คือจิตขณะสุดท้าย ฉะนั้นกระแสภวังค์จะมากมายสักเพียงใดหลังปฏิสนธิ เพราะว่าเราไม่สามารถจะรู้ขณะที่เป็นภวังค์ได้ ขณะที่เป็นภวังค์ไม่มีอะไรปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คิดถึงสภาพนั้นว่าเป็นจิตที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย และมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิตคืออารมณ์ใกล้จะจุติของชาติก่อน ซึ่งไม่ปรากฏในโลกนี้เลย ไม่ใช่เห็นทางตาเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ได้กลิ่นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ได้ลิ้มรสเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรือไม่ใช่คิดนึกเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเราก็จะไม่ได้พูดถึงวาระอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะว่าเป็นภวังคจิตซึ่งไม่มีอารมณ์ใดจะปรากฏ แต่เมื่อกล่าวถึงวาระหมายความถึงจิตรู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่ภวังค์ เช่น ในขณะที่เห็นไม่ใช่เพียงจิต ๑ ขณะเท่านั้น แต่มีจิตเกิดดับสืบต่อรู้รูปที่กระทบตาที่ยังไม่ดับ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่จะประมาณได้ว่ารูปที่ปรากฏทางตาเกิดดับอย่างรวดเร็วติดต่อกันมากมายสักเท่าใด เกินสติปัญญาที่จะรู้ได้ แต่จากการศึกษาพระธรรมให้ทราบว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจิต เวลาที่จะรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร ก็คือรู้รูปที่กระทบทวารนั้น และยังไม่ได้ดับไป เพราะฉะนั้นถ้านับดูแล้ว รูปๆ หนึ่งมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ถ้ารูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต จิตเกิดดับต่อไปเป็นภวังค์ต่อไปครบ ๑๗ ขณะเมื่อใด รูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตในอุปาทขณะก็ดับ แต่ถ้ารูปนั้นเกิดในฐีติขณะก็นับต่อไปอีกว่าจะดับเมื่อใด และก็ไม่ใช่เฉพาะที่ตัว ต้นไม้ใบหญ้าอะไรทั้งหมดก็มีอายุ ๑๗ ขณะจิต ทั้งหมดที่เป็นสภาวรูป แต่ยังไม่ได้กล่าวถึง การศึกษาธรรมให้มีความเข้าใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าแสดงว่าสภาวรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ต้องหมายความถึงสภาวรูปทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหารก็ตาม รูปที่เกิดจากอุตุ เช่น ต้นไม้ใบหญ้า ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปที่เก้าอี้อายุเท่าไหร่ ก็ต้อง ๑๗ ขณะ แต่อย่าลืมเมื่อกล่าวเช่นนี้เราไม่ได้หมายความถึงทั้งหมดเลย แต่ต้องคิดถึงอากาศธาตุซึ่งแทรกคั่นอยู่ แล้วใน ๑ กลาปหรือใน ๑ กลุ่ม จะมีรูปซึ่งเกิดแล้วดับเมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะนำสิ่งอื่นมาวัดได้นอกจากจิต จึงต้องอาศัยจิตซึ่งเกิดดับเร็วกว่า แสดงว่ารูปๆ หนึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะของจิต แล้วเราจะต้องไปกังวลไหมว่ารูปนี้เกิดเมื่อไหร่ และก็จะดับเมื่อไหร่ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปคิดอย่างนั้นเลย เพราะว่าการศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าถึงความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่เรา ความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งสิ่งที่จะปรุงแต่งให้มีความเข้าใจขึ้น ก็คือฟังพระธรรมที่เป็นส่วนละเอียด คือพระอภิธรรม หรือปรมัตถธรรมให้เข้าใจ ว่ากว่าจะไม่ใช่เรา กว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ต้องฟัง ต้องพิจารณา ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งสติสัมปชัญญะเกิดก็ต้องเริ่มต้นจากการรู้ลักษณะ ซึ่งแต่ก่อนนี้เพียงรู้เรื่อง และอาศัยความที่เคยเข้าใจมาแล้วทั้งหมดปรุงแต่งให้สามารถเข้าใจในลักษณะนั้น โดยความเป็นสภาพนามธรรมหรือรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้น "วาระ" หมายถึง ขณะที่ไม่ใช่ภวังคจิต และมีการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร ทีละทวาร และบางกาละนี้รูปก็ดับไปก่อน บางกาละรูปก็สามารถที่จะมีจิตเกิดดับรู้อารมณ์นั้นแล้วรูปจึงดับ ฉะนั้นจึงมีความยาวสั้นต่างกัน ต่อไปเราจะรู้ว่าบางวาระจิตเกิดไม่ถึงชวนะ ไม่ถึงตทาลัมพนะก็ได้ นี่ก็แสดงให้รู้ว่าสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน เราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าฟังพระธรรม ความรู้ของเราขั้นฟังต้องค่อยๆ ละเอียด และรู้จุดประสงค์ว่าศึกษาเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง เพื่อว่าสติสัมปชัญญะจะได้ไม่ลืมที่จะระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเราลืมไปว่าเราศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีทางที่สติสัมปชัญญะจะระลึกได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังฟังสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ จะชื่อภาษาบาลีว่าจักขุวิญญาณก็คือจิตเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพรู้ที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะแล้วก็ดับ

    จะเห็นว่าความรู้ของเรานั้นน้อยมากเพราะว่าแม้สิ่งที่กำลังเกิดดับจริงๆ ก็ยังไม่รู้ นี่คือการฟังให้เข้าใจว่าคำว่า “วาระ” หมายความถึงขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งต่อไปจะรู้ว่าจะมีภวังค์คั่นอยู่ทุกวาระ ไม่สามารถจะเป็นวิถีจิตเกิดสืบต่อไปโดยที่ไม่มีภวังค์คั่นเลยนอกจากขณะที่เป็นฌาณจิตสำหรับผู้ที่ได้อบรมความมั่นคงความสงบถึงขั้นอัปปนา และก็ยังต้องมีวสี มีความคล่องแคล่ว มีความชำนาญที่จะให้ฌาณจิต หรือมหัคคตจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิตเกิดได้นานเท่าไหร่ นี่ก็เป็นเรื่องอีกมากที่เราจะค่อยๆ ฟังไป แต่เป็นสิ่งที่มีในชีวิตเราหรือไม่ ไม่มี แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูก จนกระทั่งไม่มีคนอื่นที่จะทำให้เราเข้าใจผิด ถ้ามีคนบอกเราว่าเขาได้ฌาณ ถ้าเราไม่ศึกษาเลยเราก็ไม่รู้ว่าฌาณหรือไม่ แต่ถ้าเราศึกษาถึงเหตุที่จะให้เกิดโดยถูกต้อง เราจะรู้เลยว่าเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ เพราะอะไร นี่คือเรื่องวาระ

    ขณะนี้มีจิตที่เป็นวาระที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจหรือไม่ มี กี่วาระ นับไม่ถ้วน มีภวังคจิตคั่นทุกวาระหรือไม่ มี นี่คือการที่เราเริ่มมีความมั่นคง ซึ่งพระธรรมไม่เปลี่ยน ถ้าบอกว่าสภาวรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ก็ต้องเป็น ๑๗ ขณะ จะเกิดพร้อมจิตขณะไหนก็ไม่เป็นไร จะเกิดพร้อมภวังค์ขณะไหน จะเกิดพร้อมตทาลัมพนะ จะเกิดพร้อมโวฏฐัพพนะ หรือจะเกิดพร้อมจิตอะไรก็ตาม รูปที่เกิดนั้นต้องมีอายุเมื่อจิตเกิดดับไปแล้ว ๑๗ ขณะ รูปนั้นก็ดับ

    ผู้ฟัง วาระก็คือจิตที่เกิดขึ้นมาแล้วรู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ รู้อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเรียกว่า “วิถีจิต” เพราะว่าจะไม่ใช่จิตขณะเดียว จะต้องมีจิตที่เกิดดับสืบต่อรู้อารมณ์นั้น วาระหนึ่งหมดก็คือภวังคจิตคั่น ไม่รู้อารมณ์นั้นอีกต่อไปเมื่อไหร่ ก็เป็นวาระหนึ่งๆ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 89


    หมายเลข 7325
    22 ม.ค. 2567