ความเข้าใจคำว่า วิถีจิต


    ผู้ฟัง มีความใกล้เคียงกับวิถี

    ท่านอาจารย์ วิถีจิต ขณะใดที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ทั้งหมดเป็นวิถีจิต จักขุวิญญาณ จิตเห็นเป็นวิถีจิตเพราะไม่ใช่ภวังคจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตเพราะไม่ใช่ภวังคจิต สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ กุศล อกุศล จิตอื่นใดทั้งหมดเป็นวิถีจิต ถ้าไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิตแล้วเป็นวิถีจิตทั้งหมด ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่า “วิถีจิต” ต้องคู่กับทวาร เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ภวังค์ ก็จะต้องเป็นจิตที่รู้อารมณ์อื่นโดยอาศัยทางหนึ่งทางใด คืออาศัยทางตา อาศัยทางหู อาศัยทางจมูก อาศัยทางลิ้น อาศัยทางกาย อาศัยทางใจ ทวารหรือทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นมี ๖ ทาง ซึ่งอารมณ์ของภวังค์ไม่ได้ปรากฏ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงเลย แต่ขณะใดที่มีอะไรปรากฏให้รู้ว่าเป็นวิถีจิตที่อาศัยทวารหนึ่งทวารใด เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารนั้นแล้วไม่มีอารมณ์นั้นเมื่อใด ดับหมดแล้วเมื่อใด คือหมดวาระของทวารนั้นๆ ขณะที่กำลังเห็นแล้วมีได้ยิน ต้องมีวิถีจิตที่เป็นวาระของการรู้อารมณ์ทางตาดับไปหมด แล้วก็มีภวังค์คั่น แล้วก็มีจิตได้ยินซึ่งเป็นวิถีจิตหลายขณะไม่ใช่ขณะเดียว วาระหนึ่งจะมีวิถีจิตหลายขณะ วิถีจิตทั้งหมดที่เกิดสืบต่อกันทางทวารหนึ่งทวารใดก็ตาม ก็แล้วแต่ว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ ถ้าเป็นทางมโนทวารก็จะน้อยกว่าทางปัญจทวาร เพราะว่าไม่ได้มีอารมณ์มากระทบตา ไม่ต้องมีปัญจทวาราวัชชนะ ไม่ต้องมีจักขุวิญญาณ ไม่ต้องมีสัมปฏิจฉันนะ ไม่ต้องมีสันตีรณะ เพราะฉะนั้นทางมโนทวาร วาระของวิถีจิตทางมโนทวารจะน้อยกว่าวิถีจิตทางปัญจทวาร ก็เป็นไปตามเหตุตามผลตรงไปตรงมา ธรรมไม่เปลี่ยน ไม่มีเปลี่ยนเลย เพราะเป็นการตรัสรู้สภาพความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงวิถีจิตต้องรู้ว่าทวารไหน และวิถีจิตจะเกิดขณะเดียวไม่ได้เลย จะมีหลายขณะซึ่งเกิดสืบต่อรู้อารมณ์เดียวกัน หมดการรู้อารมณ์นั้นเมื่อไหร่ก็หมดวาระนั้น และก็มีภวังค์คั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเริ่มเป็นวิถีจิตใหม่ วิถีจิตที่เกิดดับสืบต่อกี่ขณะก็เป็นวาระหนึ่ง กี่ขณะหมายความว่ารู้อารมณ์เดียวกันอารมณ์เดียว จิตที่เป็นวิถีจิตจะเกิดสืบต่อรู้อารมณ์นั้น เช่น ทางตาที่กำลังเห็นในขณะนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ไม่ใช่ภวังคจิต แต่ต้องมีภวังคจิตก่อนแน่นอนดำรงภพชาติอยู่ และเมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปชนิดนี้เองที่กระทบจักขุปสาททำให้ภวังคจิตไหว คือเริ่มที่จะทิ้งไม่มีอารมณ์เก่า แต่จะมีอารมณ์ใหม่คือสิ่งที่กระทบตาเมื่อภวังคจลนะดับ ภวังคจลนะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือไม่ ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์เลย ชื่อว่าภวังค์ต้องมีอารมณ์ของภวังค์ เมื่อภวังคจลนะดับไปเป็นปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทะเกิด เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาหรือยัง ไม่เห็น เป็นภวังค์ขณะสุดท้าย สิ้นสุดของกระแสของภวังค์จึงชื่อว่า ภวังคุปัจเฉทะ แต่อารมณ์ต้องเป็นอารมณ์ของภวังค์นั่นเองเปลี่ยนไม่ได้เลย และเมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว วิถีจิตแรกต้องมีคืออาวัชชนจิต ถ้าเป็นทางปัญจทวารก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต ถ้าบ่งชัดว่าทางตาก็คือจักขุทวาราวัชชนจิต นี่คือบ่งชัดว่าไม่ใช่ทางอื่น เกิดขึ้นหนึ่งขณะเป็นวิถีจิต รู้อารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏกระทบตาแต่ไม่เห็น แม้การเห็นของเราขณะนี้ซึ่งเหมือนกับเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยรู้ความจริงว่าไม่ใช่ตัวตนเลยเพราะเหตุนี้

    เพราะฉะนั้นเมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางทวารนั้น แต่ไม่เห็นเพราะทำอาวัชชนกิจ รู้ว่าอารมณ์กระทบทวารนั้นแล้วก็ดับ หลังจากนั้นจิตอะไรเกิด จักขุวิญญาณเป็นวิถีจิต เห็นไหมว่าวิถีจิตจะเกิดดับสืบต่อรู้อารมณ์เดียวกัน คือเห็นรูปที่ยังไม่ดับที่ปัญจทวาราวัชชนจิตรู้ว่ากระทบ แต่จิตนี้เกิดขึ้นทำ "ทัสสนกิจ" คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วก็ดับ เป็นเราหรือไม่ การฟังเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณเป็นวิถีจิตหรือไม่ เป็นวิถีจิต เป็นวาระไหน เป็นวาระทางจักขุทวาร เป็นวิถีจิตของขณะที่ ๒ ของจักขุทวาร เป็นวาระที่รู้อารมณ์ทางตา

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 89

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 90


    หมายเลข 7326
    21 ม.ค. 2567