ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยอเหตุกกุศลวิบาก พิการตั้งแต่กำเนิด
ซึ่งท่านผู้ฟังจะทราบได้ว่า ท่านผู้ฟังมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นของที่แน่นอนที่สุด แต่ว่าปฏิสนธิจิตของภูมิมนุษย์กับปฏิสนธิจิตของอบายภูมินั้นต่างกัน เพราะผู้ที่ปฏิสนธิจิตในอบายภูมิ เป็นสัตว์ที่เกิดในนรก หรือเปรต หรืออสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหมด ปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบากจิต เป็นผลของอกุศลกรรม และปฏิสนธิจิตของผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดาชั้นต่างๆ ซึ่งเป็นสุคติภูมิต้องเป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง ซึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในสุคติภูมิ แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นบุคคลใด ถ้าเกิดเป็นคนที่พิการตั้งแต่กำเนิด กุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่ได้ประกอบด้วยโสภณเจตสิก คือ ไม่ได้เกิดพร้อมกับอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก อโมหเจตสิก นั่นเป็นประเภทหนึ่ง คือ ผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิดเป็นต้น
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่เป็นผู้ที่บ้าใบ้บอดหนวกตั้งแต่กำเนิด ก็เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยอาการต่างๆ ปฏิสนธิจิตย่อมต่างกัน ตามกำลังของกุศลซึ่งเป็นเหตุ
กุศลกรรมอย่างอ่อน ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลวิบากที่ไม่ประกอบด้วยโสภณเจตสิก ทำกิจปฏิสนธิเป็นบุคคลที่บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด แต่สำหรับผู้ที่ไม่บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด ปฏิสนธิจิตนั้นประกอบด้วยโสภณเจตสิก คือ อโลภเจตสิกและอโทสเจตสิก ๒ เหตุ เป็นทวิเหตุกบุคคล แต่ว่าปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นไม่ใช่เป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกในขณะที่กระทำปฏิสนธิกิจเกิดขึ้น บุคคลนั้นแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังพระธรรมก็อาจจะมีการพิจารณาและเข้าใจ แล้วก็อาจจะมีการอบรมเจริญปัญญา แต่ไม่สามารถที่จะบรรลุถึงอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต หรือมรรคผลนิพพาน ไม่บรรลุคุณธรรมที่จะเป็นพระอริยบุคคล ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ ในชาตินั้น แต่ว่าสะสมเหตุปัจจัย ซึ่งถ้ากรรมที่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิกให้ผล ก็จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และอโมหเจตสิก เป็นติเหตุกบุคคล คือ บุคคลที่ประกอบพร้อมด้วยโสภณเหตุทั้ง ๓ ในชาติต่อไปได้