การจะดับการยึดถือนามรูป ต้องรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ เป็นเพียงธาตุแต่ละชนิด
เพราะฉะนั้นการที่จะดับความยึดถือนามธรรมและรูปธรรม หรือ”รูปขันธ์” “เวทนาขันธ์” ความรู้สึกซึ่งเกิดดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เฉยๆบ้าง “สัญญาขันธ์” ซึ่งจำลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เมื่ออกุศลจิตเกิด สัญญานั้นก็เป็นอกุศลสัญญา จำผิด เห็นว่าเที่ยง ไม่เกิดดับ เมื่อเห็นว่าเป็นสัตว์ บุคคล ต่างๆ นั่นเป็นอกุศลสัญญา จำผิดหรือว่า “สังขารขันธ์” โลภะบ้าง ความชอบใจ ความสนุก ความเพลิดเพลิน ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ หรือว่าความเมตตา ความกรุณา หรือความริษยา ความตระหนี่ ซึ่งเกิดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
การที่จะรู้จริงๆว่า สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เรา อย่าลืมนะคะ สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ใช่เรา ยากไหมคะ ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นธาตุแต่ละชนิด โลภเจตสิก สภาพที่ยินดี เพลิดเพลิน ต้องการ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นโลภธาตุ โทสะเป็นธาตุชนิดหนึ่ง โมหะเป็นธาตุชนิดหนึ่ง อโลภะเป็นธาตุชนิดหนึ่ง อโทสะเป็นธาตุชนิดหนึ่ง อโมหะเป็นธาตุชนิดหนึ่ง จักขุวิญญาณ การเห็น เป็นธาตุชนิดหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่ง สภาพที่รู้เสียง ที่ได้ยินเสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่งเมื่อเป็นธาตุแต่ละลักษณะ จึงไม่ใช่เรา การที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราจริงๆ ถ้ายังไม่ใช่เราเล่นๆ รู้ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป โดยการศึกษา แต่ว่าเราสุข เราต้องการปฏิบัติ ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นเราอยู่ แต่การที่จะดับความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ ต้องไม่ใช่เราจริงๆทั้งหมด เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปเลย สิ่งใดๆก็ตามซึ่งดับไปแล้ว จะเป็นของใครคะ จะเป็นของใครได้ไหม ดับไปแล้ว ถ้าใครยังยึดถือว่าเป็นของเรา ก็เป็นผู้ที่ไม่ฉลาดเลย เพราะเหตุว่าแม้ไม่มีแล้ว ก็ยังกล่าวว่าของเรา ของเรา ทั้งๆที่สภาพธรรมนั้นก็ดับไปแล้ว
และในขณะนี้เอง สภาพธรรมทั้งหมดเกิดดับ ไม่มีสภาพธรรมไหนเลยที่เกิดแล้วไม่ดับ
ความรู้สึกสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เห็น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ยิน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นแต่เพียงธาตุแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เวลาที่ดับไปแล้ว ท่านผู้ฟังก็พิจารณาเห็นได้ว่า ไม่สมควรที่จะยึดถือสิ่งที่ดับไปแล้วว่า เป็นของเรา หรือเป็นเรา สำหรับสิ่งที่ดับไปแล้ว พอที่จะเห็นได้ ใช่ไหมคะ แต่สิ่งที่ยังไม่ดับ ยังไม่ยอมที่จะเห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนแต่ถ้ารู้ว่า แม้สิ่งซึ่งเพิ่งเกิดเมื่อกี้นี้ แล้วยังไม่ดับ ก็ดับไปหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นจะยังหลงยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็ไม่สมควรแม้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ดับอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของเรา
แต่ไม่ใช่เพียงฟังอย่างนี้ แล้วก็จะดับกิเลสได้ แต่ต้องเป็นการประจักษ์ลักษณะที่เกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น จึงจะเห็นจริงๆว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา