เห็นรูปด้วยจักษุ เสวยรูป แต่ไม่เสวยความกำหนดในรูป
สำหรับข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
[๘๒] ดูกรอุปวาณะ ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้วเป็นผู้เสวยรูป แต่ไม่เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูปอันไม่มีในภายในว่า เราไม่มีความกำหนัดในรูปในภายใน อาการที่ภิกษุเป็นผู้เห็นรูปด้วยจักษุ แล้วเป็นผู้เสวยรูป แต่ไม่เสวยความกำหนัดในรูป และรู้ชัดซึ่งความกำหนัดในรูปอันไม่มีในภายในว่า เราไม่มีความกำหนัดในรูปในภายในอย่างนี้แล เป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯ
ไม่ว่าจะเกิดความยินดี หรือไม่ยินดีในอารมณ์ที่ปรากฏ ทุกๆขณะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยซึ่งเป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ใช่พูดลอยๆ แล้วไร้ประโยชน์ แต่จะมีประโยชน์เวลาที่ท่านผู้ฟังพิจารณาแล้วก็ประจักษ์จริงๆว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุศาสนีย์ พร่ำสอนว่า ธรรมใดเป็นธรรมที่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง และไม่ใช่ให้รอเวลาด้วย ถ้าสามารถจะเห็นเองในขณะนี้เอง เพราะเหตุว่ากำลังมีการเห็น ทรงเตือน ทรงอนุเคราะห์ ด้วยการทรงแสดงธรรมว่า ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรมที่ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล
เท่านั้นยังไม่พอ ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน
นี่คืออนุศาสนีย์ที่ทรงแสดง ที่ทรงพร่ำสอน ในขณะที่กำลังฟังในขณะนี้เอง ที่จะน้อมเข้ามาพิจารณารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในขณะที่กำลังคิดนึก คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
สติเกิดบ้างหรือยังคะ ประโยชน์คือเมื่อได้ฟังแล้วก็ทราบว่า ธรรมใดผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ทุกๆขณะนี้ ขณะไหนก็ได้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส