คิดเรื่องโลก ไม่ใช่รู้ลักษณะของโลกที่เกิดดับ


    ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะในตอนนี้

    ผู้ฟัง เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นโลก และตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เป็นทุกขสัจ ทุกขสัจพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ควรกำหนดรู้ แต่ว่าอจินไตยมีอยู่ข้อหนึ่ง เรื่องของโลกนี้ไม่ควรคิด ถ้าใครคิดเรื่องของโลกแล้วจะเป็นบ้า อันนี้จะไม่ขัดกันหรือ

    ท่านอาจารย์ คิดเรื่องโลก ไม่ใช่รู้ลักษณะของโลกที่กำลังเกิดดับ คิดว่าโลกมีตั้งแต่เมื่อไร นั่งคิดไปซิคะ พยายามค้นหาว่า โลกเกิดตั้งแต่เมื่อไร โลกจะแตกทำลายไปเมื่อไร จะได้ประโยชน์อะไรในเมื่อไม่ได้รู้ลักษณะของโลกที่ปรากฏเพราะเห็นทางตา

    นี่คือโลกที่จะต้องรู้ค่ะ ในขณะที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าขณะนี้ถ้าไม่เห็นเลย ไม่ได้ยินเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่รู้รสเลย ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย ไม่คิดนึกใดๆเกิดขึ้นเลย จะมีโลกไหนๆไหมคะ แต่พอเห็น มีโลกทางตาปรากฏ เป็นโลกที่กว้างใหญ่ เป็นเรื่องโลกที่ปรากฏ แต่ยังไม่ใช่การรู้ลักษณะของโลก

    เพราะฉะนั้นอย่าลืมซิคะว่า ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโลกมานานหลายปี แต่ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่ชื่อว่า รู้จักโลก ทั้งๆที่ยังคงอยู่ในโลก แต่อยู่ด้วยความไม่รู้จักโลก แล้วก็มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง วนเวียนไป โดยที่เมื่อยังไม่รู้จักโลก ก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากโลก ก็ยังจะต้องเป็นสุข เป็นทุกข์เรื่อยๆไป แล้วในวันหนึ่งๆ ในกาลสมัยต่อไป ก็เข้าใจว่า ทุกข์จะมากกว่าสุข แต่ก็หนีไม่พ้นค่ะ ต่อให้ทุกข์ยิ่งกว่านี้ ก็ไม่พ้นจากโลก ตราบใดที่ยังไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเรื่องโลก แต่เป็นการรู้ลักษณะของโลกแท้ๆที่กำลังปรากฏ

    ก่อนอื่นต้องทราบว่า ไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง กำลังอยู่ในโลก ซึ่งไม่ใช่โลกตามความเป็นจริง ถ้าตราบใดที่สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะรู้ชัด จนกว่าสภาพนั้นๆจะปรากฏโดยความไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง ก็หมายความว่า เรื่องของโลกนี้รู้ได้ แต่คิดไม่ได้ อย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ คิดว่าโลกเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่ใช่รู้ลักษณะของโลกที่กำลังปรากฏ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ ที่จะต้องแยกโลกออกเป็นโลกแต่ละขณะ ถึงจะประจักษ์ว่า โลกจริงๆนั้นคืออย่างไร เพราะเหตุว่าถ้ายังรวมโลกทั้ง ๖ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ทางตาที่กำลังเกิดดับ เฉพาะเพียงทางตา ก็ยังไม่ได้รู้จักโลกทางตาตามความเป็นจริง เพราะเมื่อไม่ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป จึงปรากฏเป็นสัณฐานต่างๆ แล้วก็ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

    ถ้าเกิดแล้วดับทีละขณะไม่ต่อกัน ไม่สามารถที่จะปรากฏสัณฐานของสัตว์ บุคคล ตัวตนได้ ตอนเป็นเด็ก


    หมายเลข 7535
    21 ส.ค. 2558