จักขายตนะ
ขณะนี้คงจะไม่มีท่านผู้ใดคิดถึงจักขุปสาทรูป ซึ่งอยู่ที่ตัว เป็นรูปที่มีจริง แล้วก็อยู่ที่กลางตา ซึ่งข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถา ธัมมสังคิณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของ “ปสาทรูป” โดยละเอียด ซึ่งข้อความในพระบาลี “จักขายตนนิทเทส” ข้อ ๕๙๖ มีข้อความว่า
“รูป” ที่เรียกว่า “จักขายตนะ” นั้น เป็นไฉน
จักขายตนะ เป็นคำรวมของ จักขุ + อายตนะ “จักขุ” คือ ตา ตามที่เข้าใจกัน และ “อายตนะ” หมายความถึง ที่ประชุม ที่เกิด เพราะฉะนั้น “จักขายตนะ” ก็คือ จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเอง
“รูป” ที่เรียกว่า “จักขายตนะ” นั้น เป็นไฉน คือ จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้
นี่เป็นข้อความที่จะกล่าวถึงเรื่องปสาทรูปแต่ละปสาทรูปโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงลักษณะของจักขุปสาท ซึ่งกำลังเป็นอายตนะ เป็นที่ประชุม ที่ต่อของรูปารมณ์ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เวลาที่รูปปรากฏทางตา ในขณะที่เห็นนี้ จะลืมปัจจัยที่สำคัญ คือ จักขุปสาทไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าเพียงไม่มีรูปนี้ คือ ไม่มีจักขุปสาทรูป สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจะปรากฏไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นบางครั้งแทนที่พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงเรื่องของรูปที่กำลังปรากฏทางตา หรือเสียงที่กำลังปรากฏทางหู แต่ก็ไม่ได้ทรงแสดงถึงปัจจัย คือ สิ่งซึ่งเป็นที่อาศัยที่สำคัญ ที่จะให้รูปนั้นๆ ปรากฏได้ หมายความถึงปสาทรูปทั้งหลายนี่เอง
ถ้าไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ จะไม่ปรากฏเลย ถ้าไม่มีโสตปสาทรูป เสียงที่กำลังปรากฏทางหูในขณะนี้ จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะที่สภาพธรรมหนึ่งๆปรากฏขึ้นได้ ก็เพราะเหตุว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้สภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏได้ เช่น ทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ย่อมจะปรากฏไม่ได้เลย ถ้าปราศจากรูปซึ่งเป็นจักขุปสาทรูป
เพราะฉะนั้นแทนที่จะพูดถึงรูปารมณ์ข้างนอกที่กำลังปรากฏ ก็กล่าวถึงปัจจัยสำคัญซึ่งจะทำให้โลกทางตาปรากฏ ซึ่งได้แก่ จักขุปสาทรูปนั่นเอง
ซึ่งข้อความที่อธิบาย “จักขายตนะ” มีว่า
จักขุใดเป็นปสาทรูป ปสาทรูปเป็นรูปพิเศษ มีลักษณะที่ใส รับกระทบกับรูปารมณ์ทางตา ถ้าเป็นโสตปสาทรูป ก็เป็นรูปที่มีลักษณะที่ใสพิเศษสามารถรับกระทบเฉพาะเสียงเท่านั้น แต่ละปสาทรูปก็มีคุณสมบัติของตนๆ
จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ..
นี่ก็แสดงว่า ขณะใดที่จักขุปสาทรูปเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ไม่ได้ เพราะเหตุว่ามหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ย่อมเป็นประธาน และรูปอื่นอีก ๒๔ รูป เป็นรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปทั้งสิ้น แม้จักขุปสาทซึ่งกำลังกระทบกับรูปารมณ์ในขณะนี้ ก็ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ๔
จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้
นี่คือลักษณะของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ คือ ไม่มีใครที่สามารถจะมองเห็นจักขุปสาทได้ แต่จักขุปสาทรูปเป็นรูปซึ่งกระทบได้ ไม่ใช่กระทบทางกาย แต่กระทบกับรูปารมณ์ รูปที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่กระทบกับจักขุปสาท รูปที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นจักขุปสาทเป็นรูปที่กระทบได้ แต่เห็นไม่ได้ ที่เข้าใจว่า เห็นตา ขณะนี้ก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีวันที่จะมองเห็นจักขุปสาทรูปได้เลย ทุกอย่างที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งที่เป็นรูปารมณ์ เป็นรูปที่ปรากฏให้เห็นทางตา แต่ปสาทรูปซึ่งเป็นรูปที่กระทบกับรูปารมณ์นั้น เห็นไม่ได้ แต่ว่ากระทบได้
สัตว์นี้เห็นแล้ว
ทุกท่าน ทุกบุคคลที่มีจักขุปสาทเห็นแล้วในอดีต หรือเห็นอยู่ คือกำลังเห็นในขณะนี้ หรือจักเห็น หรือพึงเห็นซึ่งรูปอันเป็นสิ่งที่เห็นได้ และกระทบได้ด้วยจักขุใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑรบ้าง เหตุบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า “จักขายตนะ”
ที่กำลังมีอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนในขณะที่กำลังเห็น ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหนก็ตาม ให้รู้ว่ารูปที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาท แล้วก็ปรากฏการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา