จะระลึกรู้ลักษณะของจิตตามพุทธประสงค์บ้างหรือไม่
แล้วไม่ทราบว่า เมื่อท่านผู้ฟังเห็นว่า จิตเป็นสภาพที่กระทำให้วิจิตรแล้ว จะรู้ลักษณะของจิต ตามจุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องที่จิตเป็นสภาพที่กระทำให้วิจิตรบ้างหรือเปล่า เพราะรูปธาตุภายนอก ที่เห็นว่าวิจิตรมาก โดยเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ เป็นวัตถุ เป็นภูเขา เป็นแม่น้ำต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดเพราะส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งมีลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ไหลหรือเกาะกุม ระดับต่างๆ ทำให้ปรากฏเป็นสิ่งที่วิจิตรต่างๆ แต่สิ่งที่วิจิตรกว่ารูปธาตุภายนอก ก็คือจิต เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพที่กระทำให้วิจิตร
ในปัจจุบันชาติ ทุกท่านเห็นคติที่ต่างกันของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานก็มีรูปร่างแตกต่างกันมาก บางประเภทก็มีเท้ามาก บางประเภทก็ไม่มีเท้าเลย บางประเภทก็มี ๒ เท้า บางประเภทก็มี ๔ เท้า บางประเภทก็มีอยู่ในน้ำ บางประเภทก็อยู่บนบก และรูปร่างก็วิจิตรต่างกันมาก
สำหรับมนุษย์ก็เป็นคติอีกคติหนึ่ง ซึ่งความวิจิตรของจิตก็กระทำให้ต่างกันไป โดยเพศต่างกัน โดยสัณฐานต่างกัน ทำให้สัญญาเกิดความจำในสัณฐานที่ต่างกัน ในเพศที่ต่างกัน เพราะกรรมซึ่งต่างกัน เพราะจิตซึ่งกระทำกรรมนั้นวิจิตรต่างๆกัน ทำให้เกิดโวหาร คือ คำพูดซึ่งแสดงลักษณะของสภาพธรรมตามที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นถ้านึกถึงคำพูดซึ่งมีมากมายเหลือเกิน ก็เป็นคำพูดซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะที่วิจิตรของสิ่งที่ปรากฏนั่นเอง วันหนึ่งมีคำพูดมาก หลายอย่าง พูดถึงสิ่งต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะมีสิ่งต่างๆที่วิจิตรมากเพียงไร ก็ทำให้เกิดโวหาร เพื่อที่จะเรียกสิ่งที่ปรากฏที่วิจิตรเพียงนั้น และคำพูดนี้จะไม่มีวันหมด จะไม่มีวันจบ เพราะเหตุว่ามีสิ่งซึ่งจิตกระทำให้วิจิตรเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคำพูดก็จะต้องบัญญัติเรียกสิ่งที่จิตกระทำให้วิจิตรมากขึ้น
เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆให้ทราบว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเห็นอะไร หรือว่าไม่ว่าจะพูดอะไร ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำให้เห็นความวิจิตรของจิต ซึ่งกระทำให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นวิจิตร และถ้าท่านผู้ฟังจะคิดว่า ประโยชน์อะไรที่จะรู้เรื่องสภาพของจิต ซึ่งเป็นธรรมที่กระทำให้วิจิตร พระผู้มีพระภาคตรัสให้ระลึกถึงลักษณะของจิตในขณะนี้ เมื่อเห็นความวิจิตรต่างๆ ซึ่งจิตกระทำให้วิจิตร