ไม่ต้องไปนั่งคิดถึงสภาพธรรมที่เกิดดั็บอย่างรวดเร็วเลย


    สำหรับเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็วนั้น ยังไม่ต้องคิดเลย เช่น ในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ต้องไปคิดว่าเป็นรูปที่ดับไปแล้วใช่ไหม เพราะว่าอายุสั้นมาก เกิดแล้วดับแล้วเกิดสืบต่อจนเหมือนไม่ดับ เพราะฉะนั้นจะไปรู้ตรงไหน ตรงที่เพิ่งดับไปแล้วหรืออย่างไร แต่ให้ทราบว่าขณะใดก็ตามที่มีสภาพธรรมใดกำลังปรากฏ แสดงให้เห็นว่าต้องมีลักษณะของสภาพธรรมนั้นให้รู้ ไม่ใช่เราไปนึกเองเรื่องโกรธ ขณะที่โกรธไม่ปรากฏ แต่เราไม่ต้องไปคิดถึงว่าดับแล้วหรืออย่างไร เพราะเหตุว่าขณะนั้นจะไม่มีเพียงความโกรธขณะเดียว การที่ศึกษาเรื่องวาระหนึ่งๆ เพื่อแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่าวาระหนึ่งสั้นแค่ไหน แต่การที่ไม่ปรากฏความดับก็แสดงให้เห็นว่าเกิดดับสืบต่อรวดเร็วแค่ไหนจนไม่ประจักษ์เลย ไม่ใช่ไปบอกว่าอันนี้ดับไปแล้ว เรากำลังรู้อะไร แต่สิ่งที่กำลังมี เรายังไม่เคยรู้เลย และเราไม่ต้องไปคิดล่วงหน้าเพราะขณะนั้นเป็นเพียงแค่คิด ขั้นคิดขั้นเข้าใจ แต่ว่าลักษณะนั้นกำลังมีให้ระลึกให้เข้าใจว่าลักษณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ต่างกับลักษณะอื่น และเมื่อสภาพธรรมปรากฏแต่ละลักษณะโดยเราไม่ต้องไปคิดเลย ดับไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ต้องคิดถึง แต่ว่าเมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏมีลักษณะให้รู้ว่าเป็นลักษณะที่ต่างๆ กัน การที่เราจะคลายความยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนก็จะค่อยๆ มีจากการที่เพิ่งจะค่อยๆ รู้แล้วเราไม่ต้องไปคิดว่า แล้วเมื่อไหร่จะเป็นการประจักษ์แจ้ง ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจต่างหากที่ประจักษ์ ไม่ใช่เป็นตัวเราพยายามคอยหรือหวังว่าเมื่อไหร่จะประจักษ์ แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นละเอียดขึ้นแล้วก็ชัดขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็จะรู้ได้เมื่อกาละนั้นมาถึงว่าความเข้าใจของเราในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏมั่นคงขนาดไหน เพราะแม้แต่นามรูปปริจเฉทญาณ สภาพธรรมจะปรากฏทีละลักษณะ แต่ปัญญาระดับของนามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่ขณะที่น้อมไปประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของแต่ละลักษณะ เพียงแต่ว่าลักษณะสภาพธรรมที่เป็นธาตุไม่เคยปรากฏเลย เพราะเหตุว่าลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏโดยความเป็นธาตุจะต้องไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเจือปนเลยทางมโนทวารทีละลักษณะ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา ขั้นฟังนี่เราฟังมาก ฟังเรื่องรูปธรรม นามธรรมเกิดดับ รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แต่ไม่ใช่เป็นขั้นที่เราจะไปประจักษ์อย่างนั้น ในขณะที่กำลังอบรมก็ต้องรู้ว่าเริ่มจากการรู้ขณะที่ต่างกันของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิดแล้วก็มีลักษณะหนึ่งให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นการศึกษาก็คือการศึกษาลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมนั้น แล้วก็จะมีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมอื่น ค่อยๆ ระลึกไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่ว่าไม่ใช่เป็นเรา ได้ยินมาว่าจะต้องระลึก จะต้องรู้ นั่นไม่ใช่เลย แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย สัมมาสติก็เกิดจึงระลึก แล้วแต่อะไรก็ได้ ไม่ใช่ระลึกสิ่งที่หมดไปแล้วไม่มีลักษณะใดๆ ปรากฏเลย แต่ระลึกสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 99


    หมายเลข 7602
    22 ม.ค. 2567