ผู้ที่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลพร้อมฌาน


    สำหรับผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลพร้อมด้วยฌานจิต ถ้าบุคคลนั้นเคยอบรมเจริญความสงบ และมีความสงบที่มั่นคงจริงๆ ด้วยปัญญาที่รู้ว่า ความสงบค่อยๆเพิ่มขึ้น เป็นกุศลจิตที่มั่นคงอย่างไร แล้วเวลาที่ถึงอุปจารสมาธิ ไม่แน่ว่าบุคคลนั้นจะสามารถถึงอัปปนาสมาธิหรือไม่ เพราะเหตุว่าผู้ที่อบรมเจริญความสงบ ซึ่งเป็นผู้ที่ตรงต่อลักษณะของความสงบของจิตจริงๆ เวลาที่เกิดความสงบขึ้นแล้ว จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ และในบรรดาผู้ที่อบรมเจริญความสงบนี้ จะมีกี่ร้อยกี่พันท่านก็ตามที่จะบรรลุถึงอุปจารสมาธิก็สักท่านเดียว

    นี่คือความที่เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย สำหรับความสงบแท้จริง ซึ่งเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนา และสำหรับผู้ที่สามารถจะบรรลุถึงอุปจารสมาธิแล้ว เป็นพัน เป็นหมื่นท่าน ก็จะมีผู้ที่สามารถจะถึงอัปปนาสมาธิ ซึ่งเป็นปฐมฌานจิตสักท่านเดียว และบรรดาท่านที่บรรลุปฐมฌานแล้ว ที่จะบรรลุถึงทุติยฌานจิตในบรรดาหลายร้อยหลายพันท่านนั้น ก็จะมีเพียงท่านเดียว

    เพราะฉะนั้นที่จะถึงฌานจิตขั้นต่อๆไป เช่น ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้โดยง่าย แม้แต่ในชาตินี้เอง ถ้าใครจะอบรมเจริญความสงบที่เป็นสมถภาวนา อาจจะตายไปเสียก่อนที่อุปจารสมาธิจะเกิด หรือว่าอัปปนาสมาธิจะเกิด เพราะเหตุว่าไม่ใช่กาลสมบัติ ถึงแม้ว่าในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนา จนกระทั่งถึงอัปปนาสมาธิ แล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรมมีจำนวนน้อย แต่ผู้ที่สามารถจะอบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้ามีจำนวนมากกว่ามาก

    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะได้ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา บรรลุถึงฌานจิตด้วย และสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย ย่อมต้องเป็นผู้มีความชำนาญอย่างยิ่งในสมถภาวนา คือ ในฌานจิตขั้นต่างๆ บางท่านสามารถที่จะบรรลุถึงอรูปฌานจิต คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แต่เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตจะเกิด ไม่ได้เกิดพร้อมกับเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ซึ่งเป็นปัญจมฌาน หรือไม่ได้เกิดพร้อมกับรูปปัญจมฌาน แต่อาจจะเกิดพร้อมกับปฐมฌาน หรือทุติยฌาน หรือตติยฌานก็ได้

    นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แม้ในขณะที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมว่า ไม่ใช่การที่จะเลือกได้ ไม่ใช่การที่จะเจาะจง เพราะเหตุว่าผู้ที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ละการติดข้อง แม้ในฌานจิต เพราะรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่า แม้ฌานจิตก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นมหัคคตจิต เป็นจิตตานุปัสสนา ๑ ประเภท ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

    จะต้องรู้ตามความเป็นจริง เพื่อละความยึดถือ หรือความยินดีติดข้อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าฌานจิตของท่านจะเกิด แล้วแต่ขณะนั้นอาจจะเป็นปฐมฌานเกิด หรือทุติยฌานเกิด หรือตติยฌานเกิด หรือจตุตถฌานเกิด หรืออรูปฌานเกิด โสตาปัตติมรรคจิตยังไม่เกิดก็ได้

    เพราะฉะนั้นเวลาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะนั้น อาจจะเป็นในขณะที่กำลังพิจารณาปฐมฌาน แล้วก็ประจักษ์ในความเกิดดับ รู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือว่าในขณะที่กำลังจะเป็นพระโสดาบันบุคคล คือในขณะที่กำลังจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น กำลังมีปัญจมฌานเป็นอารมณ์ก็ได้ โดยที่ว่าแล้วแต่ความชำนาญ เพราะว่าจิตเกิดดับเร็วมาก ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาก็รู้ว่า ลักษณะของจิต ไม่ว่าจะเป็นฌานจิต หรือว่าอกุศลจิต หรือกามาวจรจิต ก็เป็นแต่เพียงจิต ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจึงไม่ได้เลือก แล้วก็ไม่ได้หวัง เพราะฉะนั้นเวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตจะเกิดนั้น ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นอะไรเป็นอารมณ์

    บางท่านเป็นผู้ที่เคยได้ฌาน แต่เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตเกิด ไม่ได้ประกอบด้วยฌานขั้นหนึ่งขั้นใดเลยก็ได้ หรือว่าท่านที่ได้ฌานขั้นสูง แต่เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตจะเกิด เกิดพร้อมกับฌานขั้นต่ำก็ได้ ด้วยความเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นจึงมีโลกุตตรจิตโดยนัยของจิต ๑๒๑ ดวงว่า โสตาปัตติมรรคจิตปฐมฌาน โสตาปัตติมรรคจิตทุติยฌาน โสตาปัตติมรรคจิตตติยฌาน โสตาปัตติมรรคจิตจตุตถฌาน โสตาปัตติมรรคจิตปัญจมฌาน คือ เป็นมรรคจิต ๕ ผลจิต ๕ ตามขั้นของฌาน ๕ แล้วเป็นสกทามิมรรคจิต ๕ สกทามิผลจิต ๕ ตามขั้นของฌาน ๕ เป็นอนาคามิมรรคจิต ๕อนาคามิผลจิต ๕ ตามขั้นของฌาน ๕ เป็นอรหัตตมรรคจิต ๕ อรหัตตผลจิต ๕ ตามขั้นของฌาน ๕ รวมเป็นโลกุตรฌาน ๔๐ โดยไม่เลือก หรือว่าโดยเลือกไม่ได้ ผู้ที่เคยได้ฌาน เวลาที่มรรคจิต ผลจิตจะเกิด ไม่ประกอบด้วยฌานก็ได้

    ผู้ที่เคยได้ฌานขั้นสูง เวลาที่มรรคจิต ผลจิตจะเกิด ประกอบด้วยฌานขั้นต่ำก็ได้ ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้เสียใจ หรือว่าไม่ได้เสียดาย เพราะเหตุว่าท่านรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล


    หมายเลข 7637
    22 ส.ค. 2558