คำว่า กาม มี ๓ ความหมาย
เพราะฉะนั้น คำว่า “กาม” ก็มี ๓ ความหมาย คือ
๑. กิเลสกาม ได้แก่ โลภเจตสิก ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งมีสภาพยินดี พอใจ เพลิดเพลิน ติดข้องในวัตถุกาม ซึ่งเป็นที่ตั้ง เป็นอารมณ์ที่ทำให้เกิดความยินดี พอใจนั้น นอกจากนั้นก็ยังมี “กามอารมณ์” ซึ่งหมายความถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นกามธาตุ
เพราะฉะนั้นจิตซึ่งเป็นกามาวจรจิต ก็เพราะเหตุว่าจิตขั้นนี้เป็นธาตุกาม ปรมัตถธรรมทั้งหมดนี้ บางครั้งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยของความเป็นธาตุ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภท ซึ่งมีสภาพธรรมของตนๆ
เพราะฉะนั้นกามาวจรจิตที่เป็นกามาวจรจิต เพราะเหตุว่าเป็น “กามธาตุ” ยังไม่สามารถที่จะขึ้นถึง “รูปธาตุ” ซึ่งได้แก่ รูปาวจรจิต ซึ่งเป็นจิตที่สงบมั่นคง ซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ และยังไม่ใช่ “อรูปธาตุ” คือ ไม่ใช่อรูปาวจรจิต ซึ่งเป็นจิตที่สงบมั่นคง มี “อรูป” คือ สิ่งซึ่งไม่ใช่รูปเป็นอารมณ์ และไม่ใช่จิตที่เป็นโลกุตตรจิต
เพราะฉะนั้นจิต ๕๔ ดวง โดยสภาพความเป็นธาตุแล้ว เป็น “กามธาตุ” ไม่พ้นไปจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถึงแม้ว่าจะเกิดในภูมิอื่น เช่น ในรูปพรหมภูมิ ก็มีกามาวจรจิตบางประเภทเกิดได้
ในอรูปพรหมภูมิ ถึงแม้ว่าจะอบรมเจริญความสงบมั่นคง มีอรูป คือ ไม่มีรูปเป็นอารมณ์แล้ว เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ไม่มีรูปเลยแต่ว่ากามาวจรจิตบางประเภทก็ยังเกิดได้ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าจะเป็นพรหมบุคคล ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา แต่ว่าเมื่อจิตประเภทนั้นเกิดในภูมินั้น โดยสภาพความเป็นธาตุของจิต ซึ่งเป็นกามธาตุ แม้ว่าจะเกิดในรูปพรหมภูมิ จิตซึ่งเป็นกามาวจร เป็นกามธาตุ ก็ยังไม่เปลี่ยนสภาพ เพราะเหตุว่าไม่ใช่รูปาวจรจิต หรือไม่ใช่อรูปาวจรจิต
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเป็นพรหมบุคคล ขณะใดที่กามาวจรจิตเกิด เพราะกามาวจรจิตเป็นกามธาตุ จิตนั้นก็ยังคงเป็นกามาวจรจิตอยู่ จะไม่เปลี่ยนเป็นรูปาวจรจิต ถึงแม้ว่าจะเป็นจิตของรูปพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิ หรือแม้ว่าจะเป็นจิตของอรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิ เมื่อกามาวจรจิตเกิดที่ไหนก็ตาม จิตนั้นก็ยังคงเป็นกามธาตุ คือ ยังคงเป็นกามาวจรจิตอยู่
อุปมาเหมือนกับสัตว์บกตกลงไปในน้ำ ก็ยังคงเป็นสัตว์บกอยู่ ยังไม่เปลี่ยนสภาพเป็นสัตว์น้ำ หรือว่าช้างศึก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสนามรบ เดินไปในที่ต่างๆ คนก็ยังคงเรียกว่าช้างศึก เพราะเหตุว่าเคยเข้าสู่สงคราม ฉันใด เมื่อจิตนั้นเป็นกามธาตุ เป็นกามาวจรจิต ไม่ว่าจะเกิดในภูมิไหน ก็ยังคงเป็นกามธาตุ หรือเป็นกามาวจรจิตอยู่นั่นเอง แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม จิตที่เป็นกามาวจร เป็นจิตซึ่งเป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะเกิดขึ้นขณะใด ก็ยังคงเป็นกามธาตุ ยังคงกามาวจรจิตอยู่นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านก็ยังมีกามาวจรจิต ถึงแม้ว่าจะดับกาม คือ ดับความยินดี พอใจ ไม่มีโลภเจตสิกเกิด ทำให้จิตที่เกิดกับโลภเจตสิกนั้น เป็นโลภเจตสิกเกิดอีกเลย เช่น พระอรหันต์ทั้งหลาย แต่ว่าขณะใดเป็นจิตซึ่งรู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ จิตในขณะนั้นเป็นกามธาตุ ไม่ใช่รูปธาตุ อรูปธาตุ ไม่ใช่โลกุตตรธาตุ เพราะฉะนั้นก็เป็นกามาวจรจิต
ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมีกามาวจรจิต ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงระดับขั้นของจิตขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกามธาตุ