จิตและเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน
และจิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกันด้วย ฉะนั้นก็มีอีกปัจจัยหนึ่ง คือ "สหชาตะ" ชาตะ แปลว่าเกิด สห แปลว่า พร้อม เพราะฉะนั้นจิต เจตสิกเกิดพร้อมกันเป็นสหชาตปัจจัยโดยเป็นสหชาตะ ไม่ใช่หมายความว่าจิตเกิดไปก่อน และเป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิดทีหลัง แต่จิต และเจตสิกที่เกิดพร้อมกันนั่นเองเป็นสหชาตปัจจัย และสำหรับสหชาตปัจจัยไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย แยกกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นสหชาตปัจจัยมุ่งหมายเฉพาะสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันขณะใด แต่ต้องเป็นปัจจัยกันด้วย อาศัยกันด้วย ไม่ใช่แยกกันมาเกิดพร้อมกันอย่างนั้น ฉะนั้นสำหรับสหชาตปัจจัย แม้รูป เช่น ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลมก็เป็นสหชาตปัจจัย แล้วรูปอื่นซึ่งเกิดพร้อมกับมหาภูตรูป มหาภูตรูปก็เป็นสหชาตปัจจัย คือ เป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดกับมหาภูตรูปเกิดพร้อมกัน ไม่ใช่แยกจากกัน นี่คือการที่เราค่อยๆ ฟังธรรมซึ่งเราเข้าใจแล้ว แต่ว่าก็เพียงเพิ่มเติมความละเอียดให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่าเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้เลย แล้วเราฟังอย่างนี้กี่ภพกี่ชาติ นี่ก็ชาติหนึ่งแล้ว ชาติก่อนอาจจะเคยฟังมาบ้าง อาจจะลืมไป หรืออาจจะฟังเล็กน้อยหรืออาจจะฟังมากก็ตาม ชาตินี้ได้ฟังอย่างนี้ เมื่อถึงชาติหน้าเราก็อาจจะได้ฟังอีกก็คือเรื่องอย่างนี้เองเพื่อให้มีความมั่นคงที่จะรู้จริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เพื่อให้เราไปทำอะไรผิดๆ ด้วยความต้องการว่าอยากจะเป็นพระโสดาบัน อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรืออยากจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีความรู้เริ่มต้น เริ่มตั้งแต่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม และมีลักษณะต่างๆ กัน และความรู้ก็คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏด้วยไม่ใช่เพียงแต่รู้ชื่อ
เพราะฉะนั้นได้ยินได้ฟังอะไรก็ตาม ให้ทราบว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่าความเข้าใจของเราจะมั่นคง แล้วก็จะเพิ่มขึ้น คือไม่ใช่ไปรู้อื่นเลย รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็คือรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ที่มา ...