ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
เพียง ๕ นาที เข้าใจไม่ได้แน่ใช่ไหมคะ ในการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ต้องเป็นผู้ที่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ คือจะต้องรู้ว่า ธรรมใดเป็นธรรมของพระอริยะ อันแบ่งเป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น ก็จะต้องเข้าใจเรื่องของสติปัฏฐาน คือ การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่เคยยึดถือว่า เป็นกายของเรา หรือเป็นตัวเรา เป็นเวทนา ความรู้สึกของเรา เป็นจิตของเรา เป็นธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังมากๆ ไม่พิจารณาจริงๆ แม้ในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ การประพฤติปฏิบัติก็ย่อมผิด เพราะอาจจะเข้าใจว่า ไม่ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า นั่นไม่ใช่ลักษณะของปัญญา การที่จะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ทางที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่ทางที่จะทำให้ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ตามปกติตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่า ไม่ต้องเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ท่านผู้ฟังก็พิจารณาทราบได้ใช่ไหมว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ปัญญา ความรู้จริง รู้ชัด จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุว่ากำลังเห็นทางตา กำลังได้ยินทางหู เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนและสภาพธรรมใดซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น ปรากฏในขณะนั้น ก็ดับในขณะนั้น ถ้าไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามปกติ จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างไร ก็ไม่มีทางที่เป็นปัญญาซึ่งสามารถแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้
เพราะฉะนั้น เหตุให้เกิดความเห็นผิด คือ
อริยานํ อทสฺสนกามตาทีนิ ความเป็นผู้ไม่ต้องการจะเห็นพระอริยะทั้งหลาย เป็นต้น ด้วยความเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ อันแบ่งเป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น ด้วยความขาดวินัย กล่าวคือ ความแตกแห่งสังวรในธรรมของพระอริยะ อันมีประเภท เป็นปาติโมกขสังวร อินทรียสังวร สติสังวร ญาณสังวร และปหานสังวร ในธรรมของสัตบุรุษ