การสะสมของจิตของพุทธมารดา


    ผู้ฟัง ในพระสูตร ที่ว่า พระพุทธมารดาจุติแล้ว ไปเกิดในสวรรค์แล้วก็ไปเป็น เทวดาผู้ชาย แล้วก็พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระพุทธ มารดาก็เป็นผู้ชายไปแล้ว สภาพจิตตอนนั้นที่ท่านไปเทศน์โปรดจะสะสมจากความเป็น พุทธมารดาไปหรืออย่างไรถึงจะไปรับฟังเทศนาตอนนั้น ช่วยกรุณาอธิบาย

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงจิต เราจะไม่พูดถึงเจตสิก และรูป เพื่อที่จะได้เข้าใจจิตชัดเจน จิต เป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม หรือนามธาตุเกิดขึ้นแล้วดับ แต่ว่าตัวจิตที่เกิดถ้าไม่ใช่ จุติจิตของพระอรหันต์แล้วก็เป็นอนันตรปัจจัย หมายความว่าเมื่อจิตนี้ดับไปแล้วเป็น ปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะมีจิตหนึ่งขณะเท่านั้นเองที่ เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิด แล้วก็ดับไปสืบต่ออยู่เรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวว่าเป็นบุคคลนี้ ก็เพราะเหตุว่ามีปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับ ไปเป็นภวังคจิต แล้วก็แล้วแต่ว่าจิตประเภทไหนจะมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นวิถีจิต แล้วก็ไม่ใช่ วิถีจิตสลับอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่กล่าวว่าเป็นใคร แต่ว่าต้องเป็นจิตที่สะสมทุกอย่าง เพราะ ฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพภูมินี้ ในปฏิสนธิจิตประมวลทุกอย่าง กรรม และกิเลส และกุศลใดๆ ที่ได้กระทำมาแล้วทั้งหมด ไม่ได้สูญหายไปเลย อยู่ที่จิต ซึ่งเป็น นามธรรม เพราะฉะนั้นเรามองไม่เห็นเลย ถ้าเราจะมองเห็นสีสักสีหนึ่ง น้ำใสๆ เราก็อาจ จะบอกได้ว่าใสมาก หรือว่าค่อยๆ ขุ่นลง หรือว่าขุ่นมาก นั่นคือรูปธรรม แต่จิตไม่มีสิ่งใด ที่จะเหมือนกับรูปเลย แต่ว่าจิต ๑ ขณะที่ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบ ต่อ เมื่อเกิดสืบต่อก็หมายความว่ามีทุกอย่างที่จิตขณะที่ดับไปนั้นมี เพราะว่าสืบต่อมาถึง จิตขณะต่อไป นี่คือตั้งแต่ปฏิสนธิจิตจนกระทั่งถึงจุติจิต คือ จิตขณะสุดท้าย แต่ว่าจิต ขณะสุดท้ายก็เป็นอนันตรปัจจัย เพราะเหตุว่าไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อ ไม่พูดถึงชื่อ ไม่พูดถึงรูป พูดถึงเฉพาะจิต ซึ่งเกิดดับ สืบต่อมานานแสนนานเกินแสนโกฏิกัปป์ จนกระทั่งถึงขณะนี้ และก็ขณะต่อไปด้วย ทุกคนเกิดมาแล้วมีชื่อ ไม่อย่างนั้นจะเรียกกันยังไงถูก เพราะว่าเป็นจิต เป็น เจตสิก รูปทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าพระพุทธมารดาหรือว่าไปเกิดบนสวรรค์ชั้น ดุสิตอะไรก็แล้วแต่ ก็หมายความว่าจำเป็นต้องใช้ชื่อ เพื่อให้เข้าใจว่าหมายความถึง สภาพธรรมอะไร แต่จริงๆ แล้วแต่ละคนก็มีจิตหนึ่งขณะแล้วก็ไม่สามารถที่จะไปรับทอด ของคนอื่นมาได้ แต่ละขณะนั้นก็เกิดสืบต่อแล้วก็ดับเฉพาะของแต่ละจิต แต่ก็ไม่เที่ยง และไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เป็นลักษณะของธาตุหรือนามธาตุชนิดนั้นซึ่งเป็นอย่างนั้น

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 112

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 113


    หมายเลข 7872
    22 ม.ค. 2567