เข้าถึงความเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาธรรม เราจะรู้ว่าจิต เจตสิกเป็นนามธรรม รูปเป็นรูปธรรม เข้าถึงความเป็นธรรมที่ต่างกันสองอย่าง ถ้าพูดถึงจิต เจตสิก เราจะไม่สนใจเรื่องรูป รูป ก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย แต่รูปที่เกิดจากกรรมก็มี รูปที่เกิดจากจิตก็มี รูปที่เกิด จากอุตุก็มี รูปที่เกิดจากอาหารก็มี ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรมก็ต้องมีจิตคือปฏิสนธิจิต
มิฉะนั้นแล้วกัมมชรูปหรือรูปที่เกิดจากกรรมจะเกิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไม่ทราบว่าสิ่งมีชีวิตนี้ที่กำลังเคลื่อนไหวมีชีวิตหรือเปล่า เรา จะนึกสักเท่าไหร่เราก็คงไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจว่าจิตเป็น สภาพรู้ ไม่ต้องคำนึงถึงรูปร่างนก แมว ช้าง ผีเสื้อ กระต่ายอะไรเลย แต่ขณะใดที่มีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ กำลังเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นคือจิต อันนี้ก็เป็นความรู้ของเราตามความ ชัดเจนที่ว่า ถ้าจะรู้ว่าจิตคืออะไรเมื่อไหร่ ก็คือจิตเป็นสภาพรู้เกิดขึ้นเมื่อไรที่ไหน บนบก ในน้ำ ที่ไหนก็ตามแต่ รูปร่างยังไงก็ตามแต่หรือว่าไม่มีรูปร่างเลย ไม่มีรูปใดๆ เลย จิตก็ เกิดได้
นี่ก็คือเข้าใจลักษณะของจิตว่าเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่าง เวลาที่ศึกษา เรื่องรูปก็เป็นเรื่องรูปซึ่งก็จะเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หรือจิตเป็นสมุฏฐาน หรืออุตุเป็น สมุฏฐาน หรืออาหารเป็นสมุฏฐาน ถ้ารูปที่เกิดจากกรรมก็แสดงให้เห็นแล้วว่า กรรมเป็น ปัจจัยให้รูปนั้นเกิด เพราะฉะนั้นเราจะไปรู้ไหมเพียงเห็นการเคลื่อนไหวว่า การเคลื่อน ไหวเป็นรูปที่เกิดจากกรรมหรือเปล่า หรือว่าเป็นรูปที่เกิดจากจิต แต่เราสามารถที่จะรู้ ความต่างว่า ถ้าเป็นจิตต้องเป็นสภาพรู้ เมื่อไรที่จะรู้ที่ไหนตรงไหนจะเรียกว่าใครหรือ อะไร สภาพนั้นก็เป็นสภาพรู้
ผู้ฟัง แต่ว่ามันมีผลกับการกระทำหรือผลกับกรรมที่เราจะก่อ ถ้าสมมติว่าสิ่งที่เรา ไม่รู้ แล้วสิ่งที่เราทำลงไปตรงนี้จะทำให้เกิดกรรมที่ไม่ดี เพราะว่าถ้ารู้ว่านั่นเป็นสิ่งไม่มี ชีวิต มันก็ไม่เกิดผลของกรรมนั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าเราสงสัยว่านี่มีชีวิตหรือเปล่าแล้วเกิดการฆ่า แล้วสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็ไม่ ใช่อกุศลกรรม เมื่อมีชีวิตจึงจะเป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นกรรมก็ซับซ้อนละเอียดไปอีก ขึ้นอยู่กับสภาพนั้นจริงๆ ซึ่งเราก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ที่กำหนดหรือที่จะรู้เพียงด้วยการเห็น
ที่มา ...