ผู้ฟัง
ที่ว่าเห็นสี สีมีความหมายอย่างไรครับ เห็นสี เห็นอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์
สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีรูปร่างสัณฐานเป็นนิมิตให้รู้ว่า มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่ที่ไหน ทำให้เราหยิบจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูก ถ้าไม่เห็น ก็จะไม่รู้ว่า มีดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่ที่ไหน ต้องอาศัยกายสัมผัส แต่เวลาที่ตาเห็นแล้วสามารถที่จะรู้ได้ ก็เพราะเหตุว่าที่ ใดก็ตามที่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่นั่นมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชะ อีก ๔ รูปรวมอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นสีที่ปรากฏทางตาก็เป็นนิมิต คือ เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมอยู่ที่นั่น แต่ปกติแล้วทุกคนเห็น แล้วก็เห็นนิมิตด้วย ตามปกติ ธรรมดาไม่เปลี่ยน แต่ว่านิมิตนั้นเป็นนิมิตของคนชื่อนั้น ชื่อนี้ หรือว่าวัตถุสิ่งของนั้นสิ่ง ของนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่การเห็นอนัตตา หรือไม่ใช่การรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็น อนัตตา เพราะเห็นคนชื่อต่างๆ แต่ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็รู้ว่าเป็นเพียงเครื่องหมายให้รู้ว่า มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จึงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุสิ่ง ต่างๆ
ผู้ฟัง
เพราะฉะนั้นสีในที่นี้ก็ไม่ใช่สีที่เห็น
ท่านอาจารย์
เหมือนกันค่ะ กำลังปรากฏเป็นนิมิต เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ สิ่งที่ปรากฏทางตา มีรูปร่างสัณฐานปรากฏไหมคะ
ผู้ฟัง
มีครับ
ท่านอาจารย์
ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีรูปร่างสัณฐานปรากฏเป็นเครื่องหมายของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตัวเล็ก ตัวใหญ่ สูงหรือต่ำ ก็เพราะฉะนั้นเป็นเครื่อง หมายให้รู้ว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมที่นั่นเป็นอย่างไร มากหรือน้อย
ผู้ฟัง
อย่างเห็นเก้าอี้สีแดง สีน้ำตาล เราเห็นก็แยกได้ทันทีว่า อันนี้แดง อันนี้น้ำตาล
ท่านอาจารย์
จำได้
ผู้ฟัง
แล้วอันนั้นก็ปรากฏสีแดง อันนี้สีน้ำตาล
ท่านอาจารย์
ค่ะ
ผู้ฟัง
ทีนี้ถ้าจะเห็นแบบผู้มีสติ ที่ว่าให้เห็นสี สีที่ว่านี้ เป็นสีอะไรกันแน่
ท่านอาจารย์
เหมือนกับปกติธรรมดา ไม่เปลี่ยน แต่ว่าความรู้ รู้ว่านี่เป็นแต่เพียงเครื่องหมาย ของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มีจริงๆ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นก็ไม่ ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธาตุอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ที่กระทบสัมผัสทางกาย แต่เพราะเหตุว่าทางตามารวมสีสัน- วัณณะกับรูปร่างสัณฐาน เลยทำให้ยึดถือว่าเป็นวัตถุต่างๆ เป็นสัตว์ เป็นบุคคลชื่อต่างๆ เพราะฉะนั้นชื่อก็เข้าไปติด ไปปิดบังอีก
ด้วยเหตุนี้การที่จะรู้ลักษณะของสภาพปรมัตถธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนสามารถรู้ลักษณะ ที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงเครื่องหมายของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ทางกายกระทบสัมผัส เป็นแต่เพียงเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น แต่เพราะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทาง ใจ เกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วมาก จึงมีการยึดถือสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย ของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่เข้าใจว่าเป็นนิมิตเครื่องหมายของคนชื่อต่างๆ ของสัตว์ ของ วัตถุต่างๆ นั่นคือความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา จนกว่าจะเห็นจริงๆ ว่าเป็นอนัตตา