เราอยู่ในโลกของความคิด ๑
ท่านอาจารย์ เวลาฝัน เห็นอะไรคะ
ผู้ฟัง เห็นเป็นรูปร่าง สมมติว่าฝันว่าลอยน้ำ ก็เห็นน้ำ
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ไม่เห็นเลย ถูกไหมคะ ในฝันไม่เห็น จำเรื่อง คิดเรื่อง คิดถึงเรื่อง คิดถึงสิ่งที่เคยเห็นเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่เห็นอย่างนี้ ใช่ไหมคะ นี่เป็นสิ่งที่เราแยกได้ว่า ฝัน คือ ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ เราฝันหรือเปล่าคะ เวลานี้
ผู้ฟัง เวลานี้เป็นความจริง
ท่านอาจารย์ เวลานี้เป็นความจริง เพราะว่ามีสีสันวัณณะกระทบตา เราก็เลยบอกว่า เวลานี้จริง ไม่ใช่ฝัน แต่เวลาที่เราฝัน สีสันวัณณะไม่ได้กระทบตา เรานอนหลับตาเลย แต่ใจเรานึก เหมือนเห็น แต่เป็นเพียงนึก
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เหมือนกัน ต่างกันกับฝัน คือ มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ให้เรารู้ว่า เราไม่ได้ฝัน เพราะว่ามีจริงๆ ปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องจริงที่ปัญญาจะค่อยๆ รู้ความจริงว่า เราอยู่ในโลกของความคิดนึกตลอด สิ่งที่มากระทบตา เราจะคิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ เราคิดถึงเรื่องอื่นก็ได้
นี่แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในโลกของความคิด และสิ่งที่ปรากฏ เราจะคิดว่าเป็นคนนั้นคนนี้ แล้วเกิดโกรธในกิริยาอาการนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เหมือนเราดูรูปภาพในโทรทัศน์
นี่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นของจริงอย่างหนึ่ง ส่วนความคิดนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง อีกขณะหนึ่ง เราอยู่ในโลกของความคิด โดยอาศัยสิ่งกระทบตา แล้วเราก็คิดแต่เรื่องนั้น จำแต่เรื่องนั้น หมกมุ่นอยู่ในเรื่องนั้น พอเสียงมากระทบหู เราก็คิดแต่เรื่องของเสียงที่กระทบหู เป็นเสียงสูงๆ ต่ำๆ แต่สร้างเรื่องมหาศาล สุขทุกข์ก็มาจากการที่เราไปปรุงแต่งจากสิ่งที่กระทบหูแล้วก็หมดไป
เพราะฉะนั้นปัญญาของเราจะเริ่มรู้ปรมัตถธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ เรียกก็ได้ แต่สิ่งนั้นมีจริง และก็รู้ด้วยว่า เราอยู่ในโลกของความคิด และสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมนั้นเราไม่ต้องคิด อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตา เราคิดไม่ได้ ใช่ไหมคะ มีจริงๆ กระทบตา เราไม่ต้องคิดเลย อย่างเสียง เราก็คิดไม่ได้ ใครจะไปคิดเสียงขึ้นมาได้ แต่เสียงมีจริงๆ ปรากฏจริงๆ แต่เราคิดเรื่องเสียงหลังจากที่เสียงปรากฏ เราก็คิดถึงความหมายของเสียง
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของความคิดของเราเอง เป็นโลกใบหนึ่ง คนหนึ่งๆ ก็อยู่ในโลกของตัวเอง แล้วแต่ว่าอะไรจะมากระทบตาก็คิดเรื่องตาเห็น อะไรมากระทบหู ก็คิดถึงเรื่องหู เวลาที่สิ่งเหล่านี้ไม่มี เราก็จำเอาไว้ วันนั้น คนนั้นทำอย่างนี้ ๒๐ ปีก่อน คนนั้นทำอย่างนั้น ก็เป็นแต่เพียงความคิดของเราเอง ถ้าทราบว่า เราเหมือนเล่นกับความคิดของเรา ปรุงแต่งคิดไปต่างๆ นานาให้สุข ให้ทุกข์ จะเห็นว่าไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย นอกจากความคิดของเราอย่างเดียว จะคิดสุขก็ได้ จะคิดทุกข์ก็ได้ จะคิดให้คนนี้รักเรา คนนี้เกลียดชังเรา ก็แล้วแต่เราจะคิดไป ทั้งๆ ที่คนนั้นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเลยก็ได้